รีวิวหนังฝรั่ง The Black Phone (2022)
ฟินนีย์ ชอว์ (แมสัน เธมส์) เด็กชายวัย 13 ปี ที่มีนิสัยขี้อายและมักถูกรังแกเสมอเขามีน้องสาวชื่อ เกวน ชอว์ (แมดเดอลีน แม็กกรอว์) ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022 ทว่าเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในระแวกบ้านของพวกเขาได้หายตัวไปอย่างลึกลับ และเกว็น ก็เป็นเด็กที่มีความสามารถคือ ความฝันของเธอมักกลายเป็นจริง หนังฟรี เธอฝันเห็นเด็กที่หายไปถูกชายปริศนาจับตัวไป หนังใหม่ จนกระทั่งวันหนึ่งๆ จู่ๆ ฟินนีย์ก็ได้หายตัวไป เขาถูกจับตัวโดยชายปริศนา และถูกจับไปขังไว้ยังห้องใต้ดินปิดตาย
ที่ต่อให้กรีดร้องแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยิน
ในห้องใต้ดินมีโทรศัพท์สีดำที่พังไปแล้วอยู่ แต่อยู่ดีๆ เสียงโทรเข้าก็ดังขึ้น เมื่อฟินนีย์รับสาย ปรากฎว่าคนในสายคือวิญญาณของเด็กที่เคยถูกจับมาก่อนหน้านี้ ดูหนัง และวิญญาณเหล่านี้จะคอยช่วยเหลือให้เขาหนีออกไป และหวังให้ฟินนีย์ล้างแค้นให้พวกเขา ในด้านของ เกวน ก็พยายามสืบหาความจริงจากความฝัน สุดท้ายแล้วเรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ทุกคนต้องไปรับชมด้วยตาตัวเอง ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
ย้อนกลับไปในวันเก่าๆ หนังเล่าเรื่องของ ฟินนีย์ ชอว์ (Mason Thames/เมสัน เธมส์ นี่คือผลงานเรื่องแรกของเขา) เด็กชายขี้อายแต่ชาญฉลาดวัย 13 ปี ดูหนังฟรี ที่มีชีวิตวัยเด็กอยู่ระหว่างบ้านกับโรงเรียน ดูหนังออนไลน์ ในบ้านเขาอยู่กับพ่อที่ค่อนข้างขี้เหล้าและเข้มงวดเกินพอดี ดูหนัง และน้องสาว เกว็น (Madeleine McGraw คนที่พากย์เป็นเคที่วัยเด็กในหนังเรื่อง ‘The Mitchells vs the Machines’ และแสดงเป็นโฮปวัยเด็กใน ‘Ant-Man and the Wasp’) ที่มีความสามารถพิเศษเหมือนแม่คือ มักจะฝันเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงได้ ดูหนังออนไลน์
วันหนึ่งฟินนีย์ถูกฆาตกรซาดิสต์ผู้ได้รับฉายาจอมฉุด ‘The Grabber’ (Ethan Hawke/อีธาน ฮอว์ก จากซีรีส์เรื่อง ‘Moon Knight’ และหนังอย่าง ‘Boyhood’) ลักพาตัวเขาไปขังอยู่ในห้องใต้ดินเก็บเสียง ทำให้เขาไม่สามารถจะกรีดร้องใดๆ เพื่อให้คนมาช่วย แต่ในห้องนั้นมีโทรศัพท์เครื่องสีดำที่สายสัญญาณถูกตัดอยู่เครื่องหนึ่ง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ‘The Black Phone’ หรือ ‘สายหลอน ซ่อนวิญญาณ’ กับหมอแปลก ‘Doctor Strange’ ฮีโรจากค่าย Marvel มันมีความเกี่ยวข้องกันอยู่นิด ๆ
นะครับ เหตุผลก็เพราะว่า สก็อต เดอร์ริกสัน (Scott Derrickson) ผู้กำกับสายสยองขวัญที่เคยสร้างชื่อใน ‘Sinister’ ทั้ง 2 ภาค รวมทั้ง ‘The Exorcism of Emily Rose’ (2005) แกเคยแวบไปกำกับ ‘Doctor Strange’ (2016) มาก่อนแล้วทีหนึ่ง แล้วจริง ๆ เดอร์ริกสันนักเขียนบทคู่บุญ ซี โรเบิร์ต คาร์กิลล์ (C. Robert Cargill) ที่เคยเขียนบทด้วยกันทั้ง ‘Sinister’ (2012) ‘Sinister 2’ (2015) และหมอแปลกภาคแรก ก็มีความตั้งใจไว้แล้วแหละว่าจะกลับมากำกับภาคต่อ ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’ (2022) แต่ว่าด้วยความที่ไอเดียไม่ลงรอยกัน เดอร์ริกสันกับคาร์กิลล์ก็เลยขอบาย หันกลับมาสร้างหนังสยงขวัญทุนต่ำในแบบที่คุ้นเคย จนออกมาเป็น The Black Phone ได้ในที่สุด
หนึ่งคือมันเป็นหนังที่มีกลิ่นอายแห่งการคารวะหนังยุค 70’s แม้ส่วนใหญ่ของหนังจะใช้ภาพอันคมชัดแต่ก็ย้อมสีให้ดูเก่า ขณะเดียวกันก็ใช้ภาพแบบเกรนแตกเมื่ออยู่ในความฝันของเกว็น สองคือ มันเป็นหนังที่พล็อตมันคือหนังระทึกขวัญแต่แทรกเล่าเรื่องสยองขวัญไว้อยู่ข้างใน
ผู้ที่ได้ชมจะต้องระทึกเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นใครกันที่โทรมาทั้งที่ไม่ได้ต่อสาย นอกจากจะบ่งบอกถึงปณิธานที่มีร่วมกันแล้ว ยังบ่งบอกความดิ้นรนไม่ยอมแพ้ของฟินนีย์ เด็กชายที่หนังปูไว้ตอนต้นว่าเขาช่างเกิดมาโชคดี มีคนรอบข้างคอยโอบอุ้มช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่เวลาโชคร้ายมาถูกกักขังไว้
ในบางเวลาหนังก็เล่นช็อตที่ชวนรู้สึกน่ากลัวขึ้นมา บางเวลาก็เล่นช็อตตุ้งแช่ให้สะดุ้งตกใจ ซึ่งก็ไม่ได้มากจนเฝือ แต่พอมาก็ทำให้สะดุ้งได้จริงๆและหนังก็ไม่ได้พาเราให้ระทึกขวัญแต่เพียงอย่างเดียว เพราะระหว่างทาง เขาก็ใส่มุกขำๆ แทรกให้คนดูได้ยิ้มและหัวเราะคิกๆ เป็นระยะด้วย คาแรกเตอร์ของเกว็นคือน้องสาวที่มีความแกร่งและสีสันความขายขำผสมกันไป เมื่อพี่ชายถูกจับตัวไปและเธอมีพลังแห่งความฝัน เธอก็พยายามอ้อนวอนพระเจ้าขอให้ฝันอะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์
ที่ผู้เขียนบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญทุนต่ำ รีวิวหนังฝรั่ง The Black Phone (2022)
อันนี้ต้องเน้นย้ำว่าทุนเค้าต่ำเตี้ยเรี่ยดินจริง ๆ นะครับ เพราะหนังสยองขวัญเรื่องใหม่ล่าสุดจากค่าย ‘บลัมเฮาส์ โปรดักชันส์’ (Blumhouse Productions) เรื่องนี้ เขาใช้ทุนสร้างแค่ 18.8 ล้านเหรียญเองครับ แต่เห็น Low Cost แบบนี้ ทำรายได้ฉายในต่างประเทศฟาดไปเกือบ 100 ล้านเหรียญ พร้อมกับคำวิจารณ์ที่ถือว่าค่อนไปทางบวกเป็นส่วนใหญ่
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เดอร์ริกสันและคาร์กิลล์ร่วมมือกันดัดแปลงเรื่องสั้นความยาว 30 หน้า จากผลงานหนังสือรวมเรื่องสั้นแนวสยองขวัญติดอันดับ The New York Times Best Sellers ที่มีชื่อว่า ’20th Century Ghosts’ (2015) เขียนโดย โจ ฮิลล์ (Joe Hill) ซึ่งเขาก็คือลูกชายของ ‘สตีเฟน คิง’ (Stephen King) เจ้าพ่อสยองขวัญระดับตำนานนั่นเอง และยังได้พี่ อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke) ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน ‘Sinister’ (2012) กลับมาร่วมชายคาบลัมเฮาส์อีกครั้ง
เรื่องราวของ The Black Phone ว่าด้วยเรื่องของ ด.ช. ‘ฟินนีย์ ชอว์’ (Mason Thames) เด็กชายขี้อายแต่มีแววอัจฉริยะวัย 13 ปี ที่ถูกฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตภายใต้หน้ากากที่มีนามว่า ‘เดอะ แกร็บเบอร์’ (Ethan Hawke) ลักพาตัวไปขังไว้ในห้องใต้ดินที่แสนจะอับทึบและเงียบงันจนแทบจะไม่มีใครได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือ แต่ในห้องนั้นกลับมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ นั่นก็คือโทรศัพท์โบราณสีดำเครื่องหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนังในห้องนั้น
บอกเลยว่าค่ายหนังสยองขวัญอย่างบลัมเฮาส์ไม่ทำให้คนดูผิดหวังจริงๆสำหรับ รีวิวหนังฝรั่ง The Black Phone (2022)
หนังต้นทุนต่ำที่ดูโคตรเพลิน ที่มาพร้อมให้ผู้ชมลุ้นเอาใจช่วยเด็กน้อยให้รอดจากฆาตกรโรคจิตที่แบบหายใจกันไม่ทั่วท้องเลยทีเดียวกับฉากสุดระทึกของหนังครับ ส่วนตัวชอบไอเดียของหนังเรื่องนี้มากครับที่มีความลึกลับผสมกับเรื่องราวสุดเหนือธรรมชาติ ที่เล่าได้แบบลงตัวมากๆ แถมบรรยากาศของหนังชวนให้ผู้ชมคิดถึงหนังเรื่อง IT อีกด้วย
นอกจากจะมีความลึกลับของพล็อตเรื่องแล้ว ตัวหนังยังได้หยิบเอาหนังเอาตัวรอดเข้ามาเสริมอีกด้วยครับ และตรงนี้นี่แหละมันเลยทำให้หนังเรื่องนี้ค่อนข้างน่าติดตามมากครับ แต่ก็แอบเสียดายตรงที่ในหนังไม่ได้เปิดเผยถึงที่มาที่ไปของตัวฆาตกรมากนัก แต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไรครับ และอีกอย่างที่ชอบคือจังหวะตุ้งแช่ในหนังบอกเลยว่าคมมากครับ เล่นเอาคนดูสะดุ้งจนตัวโยกกันเลยทีเดียว
สุดท้ายมากับด้านนักแสดงบอกเลยว่า อีธาน ฮอว์ค เล่นได้จิตมากๆครับประทับใจเลย
เพราะตัวละครของเขาดูลึกลับและสมกับเป็นฆาตกรโรคจิตจริงๆครับ ดูแล้วทำให้หลงรักหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ครับ สุดท้ายแล้วใครที่อยากสัมผัสหนังระทึกขวัญที่โคตรสะพรึงกับเรื่องราวที่เหนือธรรมชาติแบบนี้หนังเรื่องนี้ก็ไม่ควรพลาดครับ
สุดท้ายด้านงานภาพและการโปรดักชั่น ส่วนนี้คือดีมากๆ เพราะเรื่องนี้เป็นหนังทุนต่ำ แต่ผลงานที่ออกมามันดีเกินคาด คืองานภาพและโปรดักชั่นไม่เหมือนหนังทุนต่ำเลย ฉากฆ่าหรือฉากสยองนี่ทำออกมาได้ดีมากๆ เลือดสาดจัดเต็ม สมจริงอยู่ในระดับนึงเลย ฉากผีก็ทำออกมาหลอนดี และอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ บรรยากาศในหนังดีมากๆ เป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุดในเรื่องเลย บรรยากาศมันดูหม่นๆ เงียบเชียบ มันทำให้เรารู้สึกไม่ไว้ใจ ไม่รู้จะมีผีโผล่มาตอนไหน มุมกล้องต่างๆ ทำออกมาได้ดี เสื้อผ้าหน้าผม การออกแบบตัวละครก็ดีเยี่ยม อันนี้ต้องชมเลย หน้ากากและลักษณะของตัวละครฆาตกรทำออกมาได้ดีมากๆ ส่วนนี้ผมชอบมากเลย โดยรวมด้านงานภาพและโปรดักชั่นผมไม่มีอะไรจะติเลย สรุปเลยคือ ใครที่ชอบหนังผีกับหนังฆาตกรรม ไม่ควรพลาดเรื่องนี้จริงๆ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน