รีวิวหนังฝรั่ง Blade Runner 2049

เหตุการณ์มันเกิดหลังจากภาคแรกผ่านมา 30 ปี โลกมนุษย์มีเบลด รันเนอร์ คนใหม่ นามว่า “เค” (Ryan Gosling) เช่นเคย เขาได้รับภารกิจเด็ดหัวพวกมนุษย์เทียมเน็กซัส 8 แต่ดูเหมือนภาคนี้จะไปไกลยิ่งกว่า ดูหนังฟรี อาจสงสัยว่าสาวสวยตาโต (Ana de Armas) ที่อยู่กับเขานั้นเป็นใคร ไปดูหนังสิจะได้รู้คำตอบเมื่อแคลิฟอร์เนียและทั่วโลกเผชิญกับภัยพิบัติทางด้านอาหาร ดูหนังออนไลน์ และองค์กรธุรกิจใหญ่มาควบรวมกิจการของไทเรลล์คอร์ป ซึ่งก็นำโดยวอลเลซ (Jared Leto) ชายผู้ซึ่งตาบอดทั้งสองข้าง ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา

ภาพยนตร์ไซไฟในตำนานอันลือลั่นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว รีวิวหนังฝรั่ง Blade Runner 2049

รีวิวหนังฝรั่ง Blade Runner 2049

มันได้กลับมาสานต่อความยิ่งใหญ่อีกครั้งในปี 2017 กับ Blade Runner 2049 ที่มาพร้อมเนื้อหาหนักหน่วงไม่แพ้ภาคแรกแต่มีการต่อยอดหลาย ๆ ประเด็นและนำเสนอแง่คิดเชิงปรัชญาชวนปวดเฮดเช่นเคย ใน Blade Runner 2049 ก็จะเดินตามรอย Blade Runner ภาคแรกไม่มีผิดเพี้ยนทั้งธีมฉากหลังโลกดิสโทเปีย (ที่สวยกว่าเดิม) ดนตรีล้ำ ๆ ให้เสียงแหน่ว ๆๆๆ แหว่วว ๆๆๆ ที่ฟังกี่ครั้งก็ชอบจังเลยและแน่นอนว่าความเนือยเอื่อยเฉื่อยจากภาคแรกก็ยังมีอยู่ในภาคที่สองด้วยเช่นกัน แต่เรื่องราวที่ชวนเนือย ๆ กลับทำให้น่าสนใจกว่าภาคแรกขึ้นด้วยการเปิดประเด็นใหม่ต่อยอดจากภาคแรกที่ค้างไว้กว่า 30 ปี มีปริศนาให้ชวนคิดตามไปกับตัวละครเลยทำให้ Blade Runner 2049 ดูโอเคกว่าภาคแรก (นิดนึง)

สำหรับตัวละครในภาคนี้ก็มากันให้หมดซึ่งถ้าหากใครที่ดูภาคแรกมาก่อนก็จะต้องชอบภาคนี้มากถึงมากที่สุดจะเป็นอะไรนั้นไม่บอกต้องไปดูในโรงกันเอาเอง การออกแบบตัวละครก็ดูเท่มาก ๆ จะเป็นเจ้าหน้าที่ K (ไรอัล กอสลิ่ง) , วอลเลส (จาเร็ต เลโต) หรือแม้กระทั่งตัวประกอบปลีกย่อยมากมายในหนังทุกคนดูดีวางคาแรกเตอร์ได้เหมาะสมเท่มาก ๆ

เล่าความรู้สึกก่อนดูก่อนเลย เป็นคนแพ้ทางหนังของ เดนิส วิลล์เนิฟ

รีวิวหนังฝรั่ง Blade Runner 2049

ผู้กำกับที่รับไม้สานต่อตำนานไซไฟจาก ริดลีย์ สก็อตต์ ผู้กำกับภาคแรกเมื่อ 35 ปีก่อนมาก คือหนังของแกก่อนหน้าไม่ว่าจะมาแนวไหน ทั้งสืบสวนระทึกขวัญ ทั้งอวกาศไซไฟ ผมหลับหมดมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ ยิ่งตัวหนัง Blade Runner (1982) ฉบับดั้งเดิมก็เป็นอะไรที่เดินเรื่องนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ชวนหลับเป็นสไตล์อยู่แล้ว พอรู้ซ้ำเข้าไปว่าหนังยาว 2 ชั่วโมง 43 นาที ตรงนี้รู้ตัวเลย ไม่รอดแน่ ๆ งานนี้

แต่!! ไม่ผิดคาดเลย คือหนังยังคงรักษาเอกลักษณ์ความนิ่งงันของโลกอนาคตได้อย่างดี แต่ที่เพิ่มคือ จินตนาการใหม่ ๆ ต้องยอมรับว่าล้ำมาก พวกของไฮเทคในอนาคต ทั้งแฟนสาวโฮโลแกรมที่ชวนไปนึกถึงหนังอย่าง Her (2013) ทั้งข้างของเครื่องใช้แบบที่รู้สึกได้ว่าว้าว ทั้งฟังก์ชั่นและดีไซน์ พระเอกที่เอาคนดูอยู่ก่อนการเล่าเรื่องจะทำงานเต็มสูบตั้งแต่หนังเปิดเรื่องก็คือ งานโปรดักชั่นทั้งหลายนี่เอง

ก่อนอื่นต้องพูดก่อนเลยว่าเป็นหนังที่เรารออีกเรื่อง ไม่ใช่เรื่องที่รอที่สุด ไม่ได้คาดหวังมาก แต่ตัวเราชอบงานของเดอนีอยู่แล้ว รู้ตัวอีกทีหนังที่เลือกดูเพราะน่าสนใจก็เป็นหนังเขาไปซะหมด5555 ปีนี้เลยดูหนังเดอนีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 4 แล้วค่ะ หนังค่อนข้างเป็นกระแสทีเดียว ด้วยความที่ไม่ชนกับฟอร์มยักษ์เรื่องอื่นด้วย คนเลยให้ความสนใจเพราะคิดว่าเป็นหนังตลาดหรือแอ็คชั่น ส่วนอีกกลุ่มที่ให้ความสนใจคือขอหนังไซไฟที่เคยดูภาคแรกมาแล้ว เพราะภาคแรกนี่โคตรปรัชญาไซไฟ เราชอบมากๆ เพราะงั้นบอกตั้งแต่ตอนนี้เลยแล้วกัน ว่าใครที่คิดจะไปดูหนังเรื่องนี้เพราะคิดว่าไซไฟแอ็คชั่นเพียวๆนี่อย่าเลยค่ะ ผิดหวังแน่นอน หนังมันไม่ใช่อย่างนั้นคะ มันค่อนข้างไปทางปรัชญาสืบสวนมากกว่า มันไม่ได้มีฉากต่อสู้เยอะ และโลกในอนาคตก็ไม่ได้ล้ำขนาดเป็นหนังวิทยาศาสตร์ขนาดนั้น

หนังมีความยาวมาก ซึ่งเราก็เห็นหลายๆคนพูดแล้วล่ะว่าเนือย น่าเบื่อ อืดไป

รีวิวหนังฝรั่ง Blade Runner 2049

แต่เราก็คิดว่าเรามีภูมิต้านทานระดับนึงจากการดู 2001: A Space Odyssey มาแล้ว555 เราก็เตรียมความพร้อมด้วยการไปดูภาคแรกมาก่อน เพราะเขาบอกเลยว่า you must watch ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดเพราะว่าทั้งเรื่องมันเกี่ยวกับภาคแรกหมดเลยนี่โว้ยเดอนี๊ ละมาบอกว่าไม่ต้องดูก็ได้คืออัลไล๊5555 แนะนำนะคะ ดูก่อนเถอะค่ะภาคแรกน่ะ อารมณ์มันต่อยอดกันจริงๆ หลายฉากมันเกี่ยวข้องกัน แล้วถ้าดูภาคแรกมาก่อน อารมณ์มันจะอินกว่าเยอะมากๆ

มาพูดถึงนักแสดง อันนี้เราดูจบสองสามชั่วโมงแล้วเพิ่งมาเขียน ตอนดูก็เฉยๆนะ แต่พอดูจบแล้วมานั่งไปเรื่อยๆ เออ เรารักตัวละครเรื่องนี้ว่ะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ถ้าถามว่ารักเท่าภาคแรกไหมก็ไม่ คือภาคแรกคือดูรักเลย ละชอบ คือดึงดูด แต่ภาคนี้ตัวละครมีความ distinctive คาแรคเตอร์ไม่ได้เด่น แต่ก็แตกต่าง คือพอดูจบ อีกสองสามปีก็น่าจะยังจำได้ว่าตัวละครนี้นิสัยยังไง แต่ไรอันกับแฮริสันก็ไม่ได้ทำให้เรารักขึ้นแต่อย่างใด

รู้สึกเป็นตัวเดินเรื่องมากกว่าตัวเด่น กลายเป็นว่าตัวที่สำคัญที่สุดในเรื่องคือเรเชล ทั้งสองภาคเลย มี impact กับทุกสิ่งอย่างจริงๆ นักแสดงในภาคนี้เล่นดี กลมกลืนไปกับเรื่องดี แล้วเลิฟไม่ใช่ตัวร้ายแบบดูโง่ๆ หรือใช้พลัง หรือให้ความรู้สึกลาสต์บอสในเกม แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไปเหมือนกัน ทั้งๆที่คาแรคเตอร์แนวนี้มีเยอะแล้ว แต่กลับไม่รู้สึกเบื่อหรือรำคาญแต่อย่างใด เดฟ บาทิสต้าที่โผล่มาตอนแรกแป๊ปเดียว แต่คือแบบ ดึงอารมณ์ภาคแรกกลับมาให้เราหมดเลย แววตาเขาเศร้ามากอ่ะ คือทำไมไม่รู้ อาจจะเพราะภาพ ฉากด้วย แต่ช่วงแรกคือแบบ ตายอ่ะ ช้ำใจตายคาโรงอ่ะ เหมือนฝนตกฟ้ามืดทั้งๆที่ไม่ นักแสดงเรื่องนี้ดีจริง

เรื่องราวของ 30 ปี หลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก เบลดรันเนอร์คนใหม่ เค (ไรอัน กอสลิ่ง)เจ้าหน้าที่ตำรวจเคจากกรมตำรวจแอลเอ (จักรกลสังหาร) ได้เปิดเผยความลับที่ซ่อนไว้มานาน ที่จะทำให้สังคมที่ยังคงหลงเหลืออยู่ตกอยู่ในความโกลาหล การค้นพบของเคนำเขาไปสู่การผจญภัยเพื่อตามหา ริค เด็คคาร์ด (แฮริสัน ฟอร์ด)อดีตเบลดรันเนอร์จากกรมตำรวจแอลเอ ผู้หายตัวไปกว่าสามทศวรรษ ร่วมตามหาคำตอบที่ซ่อนไว้

ภาคนี้เล่าเหตุการณ์ต่อจากภาคที่แล้ว รีวิวหนังฝรั่ง Blade Runner 2049

โลกยังคงมีหุ่นยนต์และยังมีนักล่าหุ่นยนต์ที่ถูกเรียกว่า เบลด รันเนอร์ คอยทำการล่าหุ่นที่หลบหนีการจับกุม ซึ่งมือดีที่ทำหน้าที่ในตอนนี้นี้ก็คือ เค (Ryan Gosling) หลักๆ หนังก็จะเล่าการทำงานของเค ตามด้วยชีวิตส่วนตัวที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว และการตามไปสืบจนเจอปมบางอย่าง อันทำให้เขาได้ไปเจอกับริค เดคการ์ด (Harrison Ford) เบลด รันเนอร์ระดับตำนานที่หายตัวไป ซึ่งบทสรุปสุดท้ายจะนำไปสู่อะไร

ด้วยความยาว 2 ชั่วโมง 43 นาที เป็นใครก็คงต้องบอกว่าหนังยาวมาก เป็นหนังไซไฟที่โคตรยาวเรื่องหนึ่งในปีนี้ แถมการเล่าเรื่องของ ‘เบลด รันเนอร์ 2049’ ยังเป็นไปอย่างเนิบช้า ค่อยๆ เล่าไม่รีบร้อน แม้กระนั้น ผมก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าภาคนี้ยังดูไม่น่าง่วงเท่าภาคแรกเมื่อปี 1982 แม้เวอร์ชั่นที่ได้ชมจะเป็น Director’s Cut ก็ตาม และด้วยความที่ปูพื้นมีพอสมควรจากการชมภาคแรกมาก่อน ทำให้มองเห็นว่าภาคนี้ตั้งใจที่จะเลียนแบบหรือไม่ก็เรียกได้ว่าคารวะภาคแรกอย่างชัดเจน ด้วยแนวทางของเรื่องราวที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็แค่บางส่วน เพราะผู้กำกับฯ เล่นเสริมใส่ประเด็นทางปรัชญาให้ยิ่งยวด

งานภาพของ โรเจอร์ ดีกินส์ ผู้เคยเข้าชิงออสการ์มาถึง 13 ครั้ง

ครั้งนี้ถือว่าโอกาสคว้ารางวัลสูงมาก ๆ ทีเดียว (ไปรู้จักตัวตนของเขาได้จากบทความของเราอันนี้ครับ รู้จัก Roger Deakins ตากล้อง Blade Runner 2049 ผ่าน 13 ผลงานที่เคยชิงออสการ์) ต้องยอมรับล่ะว่า การวางเฟรมภาพ (โดยเฉพาะการออกแบบมาเพื่อโรงไอแม็กซ์) ทำให้แต่ละซีนดูน่าสนใจ มันสวย และดูเร้าดวงตาเราให้มองนู้นมองนี่ได้ตลอดเลย

ซึ่งก็ต้องชมพ่วงไปถึงงานโปรดักชันอาร์ตดีไซน์ของหนังด้วย ที่วางพร็อพรวมถึงฉากต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดโลกอนาคตแบบไซเบอร์พังก์ให้ชวนมองได้ตลอด ทั้งยังดูแปลกใหม่โดยไม่ทิ้งจักรวาลเดิมในปี 1982 จนรู้สึกว่าเป็นหนังคนละเรื่อง ตรงนี้รวมกันต้องบอกว่ามันได้สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการนำเสนอโลกไซไฟอย่างมีนัยยะสำคัญมาก ๆ ครับ อยากให้ลองไปชมโดยเฉพาะฉากเลิฟซีน กับฉากการต่อสู้สุดท้ายที่หาคำบรรยายมาอวยยากครับ แต่มัน โห ว้าวจริง ๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *