รีวิวหนังฝรั่ง The Mummy
รอบนี้เปิดแนวทางแปลกใหม่ให้กับเรื่องราวหลายอย่าง ดูหนังฟรี ทั้งตัวมัมมี่ก็เปลี่ยนให้เป็นหญิงซะ และนิค มอร์ตัน พระเอกของเรื่องก็ไม่ได้เป็นนักโบราณคดีแล้วแต่เป็นทหารอเมริกันที่ไปรบในอิรัคแต่นิคมีลำไพ่พิเศษคือการขโมยของมีค่าโบราณ ดูหนังออนไลน์ ไปขายในตลาดมืด แล้วก็บังเอิญเจอสุสานอียิปต์ที่ดันมาอยู่ใต้เมืองเล็ก ๆ ในอิรัค ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
โดย The Mummy เวอร์ชั่นนี้ถือเป็นการรีเมคขึ้นใหม่และจะไม่มีเนื้อหาสัมพันธ์กับเวอร์ชั่นก่อนหน้า
โดยจะเล่าถึงเจ้าหญิงจากยุคอียิปต์โบราณที่อดีตเคยมีลาภ ยศ และชีวิตที่ดี แต่แล้วชะตากรรมก็พาให้เธอต้องสูญเสียทุกอย่างไป ความโกรธแค้นที่มีทำให้เธอคิดทรยศกษัตริย์ ซึ่งเป็นพี่ชายของตนเอง ท้ายสุดเธอถูกจับทำเป็นมัมมี่และถูกฝังร่างทั้งเป็นในสุสานที่ซ่อนลึกอยู่ใต้ทะเลทรายที่แสนห่างไกลจากเมือง เมื่อถึงยุคปัจจุบัน เธอถูกปลุกให้ตื่นขึ้นพร้อมกับความแค้นที่สะสมมานานกว่าพันปี ถึงคราวที่เธอจะเอาคืนและสร้างกองทัพมนุษย์คืนชีพเพื่อครองความยิ่งใหญ่อีกครั้ง
สำหรับความรู้สึกหลังชม “The Mummy” ส่วนตัวมองว่าหนังไม่มีส่วนไหนให้น่าจดจำเลย หลายๆช่วงแอบเบื่อด้วยซ้ำไป เพราะเอาเข้าจริงหนังแทบจะไม่ได้สร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้ชมได้เลย ผมเหมือนดูไปผ่านๆไม่สนุกเหมือนที่คาดหวังไว้ (จริงๆก็คิดว่าหนังน่าจะแป๊กๆ แต่ไม่คิดว่าจะดูเหลวไหลขนาดนี้) ฉากในพาร์ทยุคอียิปต์โบราณ หนังทำได้น่าสนใจ
ดูมีมนต์ขลังชวนให้รู้สึกขนลุก แต่พาร์ทแอ๊กชั่นทำให้ผมหลุดจากฟีลของความมัมมี่อยู่หลายหนเพราะหนังดันไปให้ความรู้สึกเหมือนดู “Mission Impossible” ผสมกับ “The Walking Dead” ยังไงยังงั้น โดยเฉพาะฉากเริ่มเรื่องที่ต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธที่ดูจะเล่นใหญ่เกิน (แต่มีความสำคัญอยู่ เพราะนำไปสู่การค้นพบสุสาน) หรือจะเป็นฉากพายุทรายที่ถูกตัวมัมมี่ร่ายเวทมนต์ให้โหมกระหน่ำในลอนดอน จุดนั้นคือ “ทำเพื่ออะไร?” ผมเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ จนมาถึงช่วงของการต่อสู้กับตัวมัมมี่ที่ผมดูแล้ว หนังเหมือนจะพยายามสร้างผลกระทบของศึกนี้ให้ดูยิ่งใหญ่ในวงกว้าง แต่เอาเข้าจริงกลับเหมือนจะถูกจำกัดบริเวณไว้แค่ส่วนของผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น (ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า)
ในส่วนของการปูเรื่องราวเข้าสู่จักรวาลอสูรกายตามจุดประสงค์ของค่ายหนังนั้น รีวิวหนังฝรั่ง The Mummy
มีความคิดเห็นว่า หนังยังสร้างความน่าสนใจได้ไม่มากพอ ซึ่งถ้าคนที่ไม่ติดตามหรือไม่ทราบข้อมูลของบางตัวละครในเรื่องมาก่อน อาจดูไม่ตื่นเต้นและเฉยๆกับการปรากฏตัวของตัวละครโน้นนี่นั้นด้วยซ้ำ ผมขอยกตัวอย่างหนึ่งในตัวละครทีเด่นที่สุด นั่นคือ “Dr.Henry Jekyll” ที่ได้นักแสดงระดับออสการ์อย่าง “รัสเซล โครว์” มารับบท กรณีนี้หากใครที่ไม่ได้ติดตามหรือมีข้อมูลเกี่ยวกับมอนส์เตอร์มาก่อน จะไม่ทราบเลยว่าตัวละครนี้เปรียบเสมือน “นิค ฟิวรี่” ในจักรวาลมาร์เวลเลย
เนื่องจากบทบาทของเขาจะเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโยงกันของภาพยนตร์ทั้งหมดในจักรวาล ทั้งนี้ บางสื่ออาจเรียกเขาว่า “Dr.Jekyll & Mr.Hyde” ซึ่งจะเป็นตัวละครที่มี 2 บุคลิก นั่นคือ บุคลิกของคุณหมอในชื่อ “Dr.Jekyll” ที่หวังปกป้องโลกด้วยการค้นหาปีศาจทั้งหมดแล้วทำลายทิ้ง กับอีกหนึ่งบุคลิกตรงข้ามในชื่อ “Mr.Hyde” ที่เปรียบดั่งปีศาจที่หมายจะรวบรวมอสูรกายทั่วโลกให้ผงาดและยิ่งใหญ่เหนือความดีทั้งปวง (ตัวละครผมว่าน่าสนใจกว่า ทอม ครูซ เสียอีก) ในเรื่องนี้เขาก็ออกมาทำความรู้จักกับคนดูอยู่เป็นช่วงๆ แต่ยังไม่โดดเด่นอะไรมาก
ทหารอย่าง นิค มอร์ตัน (Tom Cruise) ดูจะเป็นทหารแตกแถว แทนที่จะทำตามหน้าที่ของตัวเอง กลับเอาเวลามาหาสมบัติ ได้ลายแทงมาก็พาเพื่อนซี้อย่าง คริส เวล (Jake Johnson) ไปเสี่ยงตายกับเหล่ากบฏ แต่ในที่สุด เขาก็ค้นพบกับแหล่งอารยธรรมโบราณแห่งชาวไอยคุปต์ แต่ทว่า มันแปลกมากเพราะจุดที่ค้นพบนั้นมันอยู่ในแถบตะวันออกกลาง เจนนี่ ฮัลซีย์ (Annabelle Wallis) เจ้าของลายแทงตัวจริงก็ตามมาจนพบและเข้าใจได้ในทันทีว่า นี่ไม่ใช่เป็นสุสาน แต่มันคือที่คุมขัง และมันไม่ใช่ที่คุมขังธรรมดา เพราะเต็มไปด้วยกลไกเพื่อขังบางสิ่งไว้ไม่ให้ออกมา
มาถึงก็เริ่มด้วยสาวนักเวทย์ปริศนาที่อักขระเต็มแขน เต็มหลัง เต็มตัว อย่างกับคนโดนของเลย
ก่อนจะตัดภาพมาที่ฉากแอ็กชันโคตรมันส์ อย่างกับหนังเรื่อง The Impossible ทั้งฉากยิง ระเบิด วิ่งฝ่าระเบิด กระโดดข้ามช่วงตึก จากหลังคากลิ้งไปอีกหลังคา แถมยังต้องตามหาแผนที่ที่หายไปที่แฟนของพระเอกเดินมาโวยวายกับพระเอกพี่ทอมครูซของเราอีกว่าขโมยแผนที่เราไปทำไม ทั้งๆที่พี่ทอมครูซบอกว่าเฮียไม่ได้ทำนะ แสงสีเสียงองค์ประกอบฉากโลเคชันมองว่าโคตรดีเลย
ทั้งฉากโบราณสถานของอียิปต์ ความขลัง ความโบราณ ทะเลทราย และการสาดกระสุนรัวยิงแมงมุม โทนสีของหนังค่อนข้างหนักไปทางสีเหลืองออกน้ำตาลผสมหน่อยๆนะ มองว่าโคตรสวยเลย ยื่งแสงแดดสาดส่องแบบการเล่าเรื่องในโลกเชิงนามธรรมคือโคตรดี แถมหน้าตาของนักแสดงนำทั้งสองคนทั้งทอม ครูซ และแอนนาเบล วอลลิส ก็ทั้งหล่อทั้งสวยด้วย
ก็นับได้วาเป็นหนังแฟนตาซีแอ็กชันระทึกขวัญอีกเรื่องที่มันส์และสนุกใช้ได้เลยนะ กับฉากบู๊ บุ๊น วิ่งหนี ระเบิด เอาตัวรอดในรถตีลังกา หนีจากคนไม่พอยังต้องมาหนีจากผีมัมมี่อีก CG และ Acting การแสดงของคนที่มารับบบทเป็นผีหรือดวงวิญญาณที่เฝ้าโบราณวัตถุมายาวนานมองว่าทำออกมาได้ดีและน่ากลัวพอสมควรเลย บอกตรงๆ นี้มันเหมือนหนังมาร์เวลเลย
มันดูเป็นเรื่องราวที่เขียนมาเพื่อให้พระเอกเป็นทอม ครูซ เสียจริงๆ มีกลิ่นของ Mission: Impossible เข้ามาอย่างพอจับได้ มันคือหนังที่ทอม ครูซ ได้เล่นเป็นทหารที่ชอบขุดค้นหาของโบราณแต่ดันไปเจอของแรงเข้า สุดท้าย เขาต้องหนีหัวซุกหัวซุนเพราะสมบัติที่เขาค้นพบมันกลับเป็นปิศาจผู้รอวันออกมาแก้แค้น และเมื่อมันจะมีการสร้างเป็นจักรวาลปิศาจมันก็ย่อมต้องมีใครสักคนที่คอยเชื่อมระหว่างหนังแต่ละเรื่อง ผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่ารัสเซลจะได้เล่นในเรื่องอื่นหรือไม่ แต่ในภาคนี้ บทบาทของเขาค่อนข้างโดดเด่นเลยทีเดียว
ถ้าจะถามว่า ‘เดอะมัมมี่’ ภาคนี้มีอะไรที่โดดเด่น ก็คงจะเป็นฉากแอ็คชั่น
ส่วนตัวละครของรัสเซล โครว์ ที่น่าสนใจที่สุด เพราะออกจะดูหมกมุ่นกับการจับปิศาจ หนังเปิดข้อมูลบางสิ่งที่น่าสงสัยว่าเขาคือตัวอะไรกันแน่ แต่หนังก็ไม่ได้ให้เวลากับการเล่าเรื่องราวเบื้องหลังของเขาขนาดนั้น โดยรวมมันจึงไม่ได้เป็นเดอะมัมมี่ที่คุณต้องดู สำหรับหนังเดอะมัมมี่ เวอร์ชั่นนี้ถือว่าเปิดเรื่องมาได้ดี กระชับ และชัดเจนตั้งแต่ไปเจอมัมมี่ ปมหลังมัมมี่ และชนวนเหตุให้มัมมี่ไม่พอใจ แต่พอทุกอย่างมาครบแล้ว ตั้งแต่กลางเรื่องเป็นต้นไปเลยรู้สึกเอื่อยๆ และคนดูก็น่าจะพอเดาตอนจบได้ แต่ระหว่างที่ดูจะมีมุขแทรกมาให้ขำเบาๆ อยู่เรื่อยๆ
โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ออกแนวมีภารกิจให้ทอม ครูซต้องทำมากกว่า ไม่ได้เน้นผจญภัยเหมือนเวอร์ชั่นก่อนๆ ไม่ว่าทอม ครูซจะขยับตัวไปไหน ก็จะมีภารกิจให้เขาต้องจัดการหรือหนีรอดให้ได้ อย่างที่บอกเรื่องนี้ไม่เน้นผจญภัย แต่จะเป็นแอคชั่นไซไฟ และเป็นมัมมี่ที่ถูกปลุกมาในยุคปัจจุบัน ทำให้การดำเนินเรื่องจะเน้นอยู่ในอังกฤษซะเป็นส่วนใหญ่ เลยจะไม่ค่อยได้เห็นฉากในทะเลทรายมากนัก ทำให้ขาดเสน่ห์ของความเป็นหนังมัมมี่ แต่ในเรื่องของฉาก แสง สี เสียงถือว่าคงคุณภาพ ทำได้ดีดูสมจริงและสะดุ้งในบางครั้ง
เป็นหนังที่แบกรับความคาดหวังไว้สูงมาก รีวิวหนังฝรั่ง The Mummy
เหตุเพราะยูนิเวอร์แซลต้องการที่จะมีจักรวาลหนังของตัวเองไว้สู้กับมาร์เวล และฟอกซ์บ้าง ก็เลยมองว่าตัวเองถือสิทธิ์ของบรรดาผีฝรั่งไว้มากพอดูทั้ง มัมมี่ , แวน เฮลซิ่ง, มนุษย์หมาป่า , มนุษย์ล่องหน , เจ็คเคิล แอนด์ ไฮด์ และ แฟรงเคนสไตน์ ซึ่งล้วนแต่เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ก็เลยเริ่มโครงการ Dark universe เอาบรรดาอสุรกายเหล่านี้ให้มาเจอกัน โดยให้ The Mummy รับหน้าที่เป็นหัวหอกเปิดโครงการ
โดยหวังว่าชื่อ ทอม ครุยส์ บวกกับชื่อมัมมี่ น่าจะดึงความสนใจคนดูได้สำเร็จ ด้วยความที่เป็นหนังเปิด Dark Universe หนังจึงต้องทำหน้าที่แนะนำตัวละครสำคัญทั้ง นิค มอร์ตัน บทของทอม ครุยส์ , อาห์มาเน็ต ราชินีมัมมี่ และ ดร.เจคเคิล บทของรัสเซล โครว์ ในเรื่องนี้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการหน่วยศึกษารวบรวมอสุรกายทั่วโลก ซึ่งใน Dark Universe นี้ ดร.เจคเคิล ก็ทำหน้าที่เหมือน นิค ฟิวรี่ ของดิ อเวนเจอร์ส นั่นแหละ
มัมมี่ รอบบี้เว้นช่วงจาก ภาคสุดท้ายในไตรภาคที่แล้ว The Mummy: Tomb of the Dragon Emperor (2008) ถึง 9 ปี บทหนังคราวนี้ได้ เดวิด โคเอ็ปป์ มือเขียนบทระดับต้น ๆ ของฮอลลีวู้ดมารับผิดชอบ โคเอ็ปป์ มีผลงานเป็นที่รู้จักมากมาย Jurassic Park(1993) , Mission: Impossible (1996),Spiderman (2002) แถมพ่วงด้วย คริสโตเฟอร์ แม็คควอรี่ Edge of Tomorrow (2014) , Jack Reacher (2012) ไม่พอ ยังมี อเล็กซ์ เคิร์ตซแมน Transformers (2007) มาเสริมอีก แล้วมอบหมายหน้าที่กำกับให้ เลน ไวส์แมน ที่เคยกำกับ Live Free or Die Hard (2007) และ Total Recall (2012) มาแล้ว แต่เลนก็ลาออกกะทันหันก่อนเปิดกล้องไม่นาน ได้บัลธาซาร์ คอร์มาเคอร์ จาก Contraband (2012) มาเสียบแทนได้ไม่นานก็บ๊ายบายไปอีกเพราะทิศทางการทำงานไม่ตรงกับยูนิเวอร์แซล สุดท้ายก็เอา อเล็กซ์ เคิร์ตซแมน คนเขียนบทนี่แหละมากำกับด้วยเลย