รีวิวหนังฝรั่ง Only the Brave

หนังแนวชีวิตตำรวจดับเพลิง เป็นแนวที่ฮอลลีวู้ดสร้างออกมาไม่บ่อยนัก ถ้าให้นึกออกเรื่องที่เด่น ๆ ตอนนี้ก็ Back Draft (1991) และ Ladder 49 (2004) ใน Only The Brave ย้อนไปหยิบเหตุการณ์จริงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ของหน่วย “แกรนิต เมาเท่น ฮอตชอต” ที่ออกปฏิบัติภารกิจยับยั้งไฟป่ายาร์เนล ที่แรกเริ่มดูเหมือนจะเป็นงานง่าย ๆ ดูหนังฟรี แต่ไฟกลับลุกลามอย่างรวดเร็วเกินคาดและได้คร่าชีวิตทีมฮอตชอตไป 19 นายจากทั้งหมด 20 นาย ดูหนังออนไลน์ นับเป็นโศกนาฏกรรมที่สูญเสียชีวิตนักผจญเพลิงชาวสหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์รองจากเหตุ 9/11 ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา

หนังพาเราไปรู้จักตั้งแต่จุดเริ่มต้นของหน่วยนี้

หัวหน้าของหน่วย นำโดย เอริค และ มือขวา เจสซี่ เริ่มต้นการผจญเพลิงในฐานะทีนักผจญเพลิงฝึกหัดประจำเมือง หนังอธิบายละเอียดเข้าใจง่ายว่า ทีม 2 คือ ทีมที่จะคอยเก็บกวาดงาน หลังจาก ทีม Hotshots เป็นแนวหน้าวางแนวสกัดไฟแล้ว เอริค อยากจะสร้างทีม Hotshots ประจำเมืองขึ้นมา ซึ่งปกติจะเป็นทีมจากหน่วยกลาง ไม่เคยมีทีมท้องถิ่น เพราะต้องได้มีประสบการณ์ ได้รับการฝึก และ ผ่านการประเมิณ กว่าจะได้ก็ลำบากลำบนกัน

ระหว่างการสร้างทีม ก็มีรับพนักงานใหม่เข้ามา คนนึงที่เรียกว่า เป็ฯตัวเด่นเลยคือ แบรนดัน อดีตขี้ยา ที่เพิ่งออกจากคุก อยากกลับไป เพราะเพิ่งรู้ว่ามีลูกสาว พอเห็นหน้าลูก ก็อยากสร้างตัวขึ้นมา เลยมาสมัคร หัวหน้ารับ แต่ก็มีเขม่นๆ กับคนในทีมอยู่บ้าง ในการฝึกฝน ความสัมพันธ์ของคนในทีม ที่ต้องเสี่ยงชีวิต อยู่กับไฟ ความเป็นความตาย ทุกครั้งที่ออกหน้างาน ชีวิตครอบครัว ชอบการเล่าเรื่องตรงนี้ เพราะมันทำให้เราค่อยๆ ผูกพันกับทุกตัวละครไปเรื่อยๆ จุดขัดแย้งมีมาตลอด ไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือ เรื่องครอบครัวทั้งตัวหัวหน้าทีม และ แบรนดัน หนังใส่รายละเอียดการทำงาน มามากพอๆ กับชี้ให้เห็นคนที่อยู่ข้างหลัง ที่ต้องรอคอย สามีกลับบ้าน ต้องใจตุ้มๆ ต่อมๆ ทุกครั้งที่ได้รับโทรศัพท์

รีวิวหนังฝรั่ง Only the Brave  คือหนังที่อิงจากเหตุการณ์หันตภัยไฟป่า “ยาร์เนล ไฟร์”

รีวิวหนังฝรั่ง Only the Brave

ที่เรียกได้ว่าเป็น ไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยตัวหนังจะเล่าเรื่องราวผ่านหลายตัวละครจากกลุ่มแกรนิต เมาน์เทน ฮอตช็อตส์ นับตั้งแต่ช่วงก่อตั้งกลุ่ม ไปจนถึงช่วงที่พวกเขาเหล่านี้สามารถผ่านการประเมินจนเป็น ‘ฮอตช็อต’ หน่วยนักผจญเพลิงขั้นเทพของประเทศที่มีหน้าที่เป็นกลุ่มเสียงภัยอันตรายต่างๆ ทำงานโดยไม่คำนึงถึงชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนที่พวกเขารัก จนเกิดเป็นเรื่องราวแห่งมิตรภาพ และวีรกรรมที่โลกไม่รู้ลืม

การแสดงของเหล่าดาราคุณภาพที่ทุกคนสามารถมีซีนอารมณ์โชว์ประสิทธิ์ภาพการแสดงได้เป็นอย่างดี แถมการที่ตัวหนังมีการเล่าเรื่องที่ทำให้เราเห็นพัฒนาการของตัวละคร ให้คนดูอย่างเราๆ รู้สึกอินไปกับพวกเขา โดยเฉพาะช่วงครึ่งสุดท้ายของเรื่อง มันทรงพลังมากๆ

สหรัฐอเมริกามีอาณาเขตกว้างใหญ่ แถมการตั้งรกรากก็มักจะแวดล้อมไปด้วยภูเขาและป่า เหตุที่หลายเมืองต้องเจอก็คือ ไฟป่า ที่เราก็รู้ว่ามันจะลุกลามอย่างรวดเร็ว และหากเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วไม่มีการควบคุมพื้นที่ มันก็จะเป็นภัยต่อเขตที่อยู่อาศัยของมนุษย์ได้ ยังไม่นับว่า สัตว์ป่าต้องสูญเสียในเพลิงสีแดงนั่นอีก

หนังเล่าถึง เอริค มาร์ก (Josh Brolin)

ชายวัยสี่สิบที่รักและมุ่งมั่นในการเป็นชาวบ้านผู้ทุ่มเทกับการควบคุมป้องกันไฟป่า ถึงขนาดที่เขาต้องโต้เถียงกับอแมนดา (Jennifer Connelly) ภรรยาสาวที่ไม่ค่อยจะได้เจอหน้าสามี แถมเธอมักจะสะท้อนใจมากขึ้นในช่วงหลังเมื่อใครๆ ก็บอกว่าเธอโชคดีที่ไม่มีลูก หนังได้ เคน โนแลน มือเขียนบทจาก Black Hwak Down (2001) และ อีริค วอร์เรน ซิงเกอร์ จาก American Hustle (2013) มาร่วมกันดัดแปลงบทความ “No Exit” จากนิตยสารจีคิวออกมาเป็นบทภาพยนตร์ที่ลงตัวมาก เล่าเหตุการณ์ในเวลา 2 ชั่วโมงนิด ๆ ได้อย่างน่าติดตาม

หนังพาเราไปรู้จักชีวิตของหน่วย “ฮอตชอต” กลุ่มบุคคลที่เราแทบไม่เคยรู้จักชีวิตของพวกเขา เพราะหน่วยฮอตชอตแตกต่างจากตำรวจดับเพลิงมาก ภาระหน้าที่ในการป้องกันไฟป่าต้องเสี่ยงภัยกว่าการดับเพลิงอาคารบ้านเรือนมากนัก พวกเขาต้องฝึกหนักอย่างน้อย 2 ปี ต้องแบกสัมภาระเดินทางขึ้นเขาเป็นระยะทางหลายกิโลต่อภารกิจแต่ละครั้ง

รีวิวหนังฝรั่ง Only the Brave

บางงานต้องทำงานต่อเนื่องกว่า 12 ชั่วโมง งานของฮอตชอตไม่ใช้น้ำดับไฟ แต่ใช้ไฟดับไฟ ด้วยการเผาต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ในเส้นทางไฟเพื่อควบคุมการแพร่ขยายอาณาเขตของไฟป่า หนังเล่าสลับภารกิจหน้าที่ของหน่วยฮอตชอตกับชีวิตส่วนตัวของพวกเขา บทหนังเน้นตัวละครหลักแค่ 2 คน คือ อีริค มาร์ช บทของ จอช โบรลิน

ในฐานะหัวหน้าหน่วยฮอตชอต และ เบรนดัน แม็คโดนาห์ บทของ ไมลส์ เทลเลอร์ อดีตขี้ยาที่มาสมัครเป็นฮอตชอต และได้รับโอกาสจากอีริค ที่อยู่ในสถานะตัวประกอบคือ คริสโตเฟอร์ แม็คเคนซี บทของ เทย์เลอร์ คิตช์ และ เจสซี่ สตีด บทของ เจมส์ แบดจ์ เดล ที่เหลือถูกวางตัวในสถานะตัวประกอบแท้จริง จนจบยังแทบไม่รู้จักชื่อและหน้าตาเลย

หนังยิบยกประเด็นต่าง ๆ มาพูดถึงอย่างมากมาย

ทั้งเรื่องการเมืองระดับท้องถิ่นที่หน่วยเล็ก ๆ ของอีริค มาร์ช พยายามไต่เต้าหลายปีกว่าจะได้ขึ้นเป็น “ทีมฮอตชอต” ปัญหาครอบครัวของอีริค มาร์ช ที่ทุ่มเทกับงานจนแทบไม่มีเวลาให้เมียการเป็นเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งกัน และความพยามพลิกชีวิตของเบรดันจากขี้ยาไม่เอาไหนกลายมาเป็นคนเอาการเอางานเพื่อพิสูจน์สถานะว่าเขาสามารถเป็น”พ่อ”ที่ดีได้ รวมถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ของ “โดนัท” และ “แมค” จากคู่กัดมาเป็นเพื่อนสนิท

ด้วยเรื่องราวเหล่านี้กับเวลา 2 ชั่วโมงกว่า ที่เราได้เห็นชีวิตที่เสียสละทุ่มเทก็ทำให้รู้สึกผูกพันเห็นใจกับชีวิตของพวกเขา ซึ่งล้วนไปส่งผลให้กับนาทีไคลแมกซ์ในช่วงท้ายเรื่อง ที่พาไปได้ถึงจุดซาบซึ้งกินใจได้โดยไม่ต้องพยายามบิลท์กันมากมาย ก็ต้องย้อนกลับไปชื่นชมฝีมือเขียนบทอีกทีที่สามารถเล่าเรื่องราวที่คนดูรู้ชะตากรรมของหน่วยฮอตชอตอยู่แล้ว

แต่ก็ยังเล่านาทีวิกฤตออกมาได้ชวนลุ้นและเอาใจช่วยแม้ว่าจะรู้บทสรุปอยู่แล้ว แต่จุดที่ควรเก็บงำไว้ห้ามสปอยล์อย่างมากคือผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของเรื่อง ที่เป็นอีกหนึ่งสีสันของเรื่องกับการดูไปเดาไปว่าใครคือผู้รอดชีวิตคนนั้น หนังไม่ได้ลงเอยให้รู้สึกว่า”เขา”คือผู้โชคดีที่รอดชีวิตแม้แต่น้อย แม้สายตาคนรอบข้างจะมองว่าเขาคือผู้โชคดี

รีวิวหนังฝรั่ง Only the Brave

แต่ตัวเขาเองกลับไม่ยินดีกับโชคชะตานี้เลย หลังวิกฤตการณ์ ทุกครอบครัวยังไม่รู้ว่าใครคือผู้รอดชีวิต แล้วนาทีที่เขาปรากฏตัวออกมากลับเป็นความผิดหวังเสียใจของครอบครัวของเพื่อน ๆ ทั้ง 19 ที่ได้ข้อเฉลยว่าคนรอดชีวิตกลับไม่ใช่สามี , พ่อ หรือลูกของพวกเขา เขาต้องทนแบกรับสายตาเหยียดหยาม คำเสียดสีจากคนรอบข้างไปอีกนาน

หนังเรื่องนี้ ให้ในสิ่งที่เราคาด รีวิวหนังฝรั่ง Only the Brave 

คือ ภาพความตื่นตาของไฟป่า และ การสกัดกั้น แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้ ทำให้คนทั้งโรงน้ำตารื้น สะอื้นกันดังมากกก เพราะเราได้เห็นคนธรรมดา เดินดิน ไม่มีพลังอำนาจ ไม่มีอาวุธพิเศษอะไร มีแต่ความกล้า และ ใช้สมอง ในการสกัดกั้น หันเหทางโหมของไฟ เพื่อปกป้องผู้คน ทุกอย่างในหนังคือ ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่าย กับการเข้าไปขุดแนวกันไฟ เผาไฟกันไฟ เพราะไม่มีใครรู้ว่า ไฟจะมาถึงตัวเมื่อไหร่ พวกเค้าต้องเผชิญกับความเฉียดของไฟ ตลอดเวลา เค้าลำบาก แต่ก็มีเสียงหัวเราะ มีความสุข ยิ่งตอนที่แบรนดัน ได้ร่วมปฏิบัติการณ์ครั้งแรก หลังจบงาน ทีมนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับ คนในทีมบอกเค้าว่า ดูสิ ภาพป่าเขาเขียวขจีที่สวยงามนี่ละ คือ สิ่งที่พวกเราปกป้องไว้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *