รีวิวหนังฝรั่ง The Guilty

เช้าวันหนึ่ง ณ ศูนย์รับเรื่อง 911 โดยโอเปอเรเตอร์ โจ เบย์เลอร์ พยายามช่วยชีวิตผู้ที่โทรเข้ามาซึ่งตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ดูหนังฟรี แต่เขากลับได้พบว่าอะไร ๆ ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ดูหนังออนไลน์ และยิ่งถลำดำดิ่งกับการช่วยชีวิตคนตรงหน้าอย่างหลงทาง ในขณะที่เวลามีชีวิตรอดของเหยื่อก็ขมวดเข้ามาทุกที ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา

เล่าเรื่องราวของ โจ เบย์เลอร์ เจ้าหน้าที่ประจำสายด่วนฉุกเฉิน 911

ที่ต้องมาเข้ากะปฏิบัติหน้าที่เพียงคนเดียวในวันหยุดของทีม เขาได้รับสายแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งที่อ้างว่ากำลังถูกลักพาตัว ทำให้เขาต้องหาวิธีและหนทางในการช่วยเหลือเหยื่อสาวผู้นี้ แต่ปรากกฏว่าเหมือนอะไรๆ จะซับซ้อนและไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเข้าใจ เขาจึงต้องพยายามสืบหาความจริง และเขาก็ยิ่งเผชิญหน้ากับความจริงที่ของตัวเองด้วย

รีวิวหนังฝรั่ง The Guilty

แน่นอนว่า “เจค จิลเลนฮาน” แบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้อยู่หมัด ด้วยการแสดงที่เป็นมืออาชีพของเขา ตลอดเวลาเกือบ 90 นาทีของหนัง คนดูจะไม่ได้เห็นอะไรเลย มีแค่ซึบซับเหตุการณ์ผ่านเสียงและภาวะทางอารมณ์ของตัวละครที่ชื่อ โจ ไปตลอดทั้งเรื่อง นี่อาจจะไม่ใช่การเล่าเรื่องที่แปลกใหม่อะไรเลย แต่สถานการณ์ในหนังก็สามารถทำให้คนดูคล้อยตามและสนุกไปกับท้องเรื่องได้ไม่ยาก

การถ่ายทอดและตีความคาแรกเตอร์ตัวละครนี้ของ เจล จิลเลนฮาน เต็มไปด้วยมิติที่น่าสนใจดี แม้ว่าบุคลิกของเขาจะถูกเป็นคนโผงผางและอารมณ์ร้อนตามสถานการณ์ แต่เขาก็ยังมีมุมความอ่อนโยนและพยายามทำความเข้าใจความรู้สึกคนอื่นๆ เจคได้ครองบทนี้ออกมาได้ดี เป็นการแสดงที่ไม่ได้เยอะล้นเกินไป แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เบาบางเช่นกัน

หนังเรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับ “อองตวน ฟูควา” 

ที่ได้ยินว่าเป็นการทำงานในช่วงโควิด-19 กำลังแพร่ระบาดหนัก และการถ่ายทำต้องใช้วิธีการทำงานแบบ New Normal ที่ต้องรักษาระยะต่อกันด้วย ทำให้นักแสดงกับผู้กำกับต้องอยู่คนละที่กันระหว่างการทำงาน และประสานงานสื่อสารกันผ่านวิทยุสื่อสารใน 2 วันที่ต้องออกกองถ่ายทำหนังเรื่องนี้

น่าจะเป็นการหวนกลับมาทำหนังแนวดราม่าตำรวจที่เคยสร้างชื่ออีกครั้งของผู้กำกับผิวดำคนดังอย่าง อังตอน ฟูกัว (Antoine Fuqua) ที่หลายคนก็น่าจะยังคงจำได้ดีอย่าง ‘Training Day’ (2001) หรือเรื่องหลังหน่อยก็ ‘Brooklyn’s Finest’ (2009) และน่าจะเป็นครั้งแรกที่เขามาทำหนังลงบริการสตรีมมิงชื่อดังอย่างเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งก็เป็นความร่วมมือที่น่าสนใจทีเดียว

รีวิวหนังฝรั่ง The Guilty

แม้จะน่าเสียดายนิดหน่อยที่ฟูกัวไม่ได้ทำหนังออริจินัลลงเน็ตฟลิกซ์ แต่เป็นนำหนังเดนมาร์กชื่อเรื่องเดียวกันของ กุสตาฟ โมลเลอร์ (Gustav Möller) เมื่อปี 2018 มารีเมก แถมบางคนยังอาจนึกไปถึงหนังอย่าง ‘The Call’ (2013) ที่ ฮัลลี เบอร์รี (Halle Berry) แสดงนำในบทพนักงานประจำสายด่วน 911 เข้าเสียอีก

แต่เอาเข้าจริงในขณะที่ ‘The Call’ จะนำเสนอในแนวทางธริลเลอร์ชัดเจนมีการตัดสลับเหตุการณ์คู่ขนานในที่ตัวเอกทำงานและภายนอกที่เป็นที่เกิดเหตุ ‘The Guilty’ กลับเด่นที่ธีมที่ต้องการเล่า โดยเอารูปแบบของดราม่าธริลเลอร์มาเป็นอาภรณ์เสียมากกว่า และความเด็ดดวงที่สุดก็คงไม่พ้นการที่หนังท้าทายนักแสดงและผู้ชม ด้วยการให้เห็นภาพแค่ในห้องทำงานของตัวเอกเป็นหลักโดยแทบไม่เคยตัดภาพออกไปยังโลกภายนอกเลยด้วย

ทุกอย่างที่เราได้รับรู้จะผ่านเสียงการสนทนาที่เราต้องจินตนาการเอาเองว่าปลายสายจะมีบุคลิกอย่างไร มีความสัมพันธ์แบบใดกับตัวเอก และตอนนี้เหตุการคับขันนั้นดำเนินไปอย่างไรแล้ว โดยทั้งนี้ตัวช่วยของเราในการรับรู้เรื่องราวก็มีเพียงสีหน้าท่าทาง อารมณ์น้ำเสียงของตัวเอกเท่านั้น

ความท้าทายที่ต้องแบกหนังเพียงลำพังแบบนี้ รีวิวหนังฝรั่ง The Guilty

น่าจะเป็นของโปรดสำหรับนักแสดงสายฝีมืออย่าง เจก จิลเลนฮาล (Jake Gyllenhaal) เลยทีเดียว ด้วยก่อนหน้าไม่นานเขาก็เพิ่งมีผลงานชั้นดีร่วมกับฟูกัวมาแล้วในหนังหมัดมวยดราม่าเรื่อง ‘Southpaw’ (2015) พอมาเรื่องนี้เขาต้องรับบท โจ เบย์เลอร์ ตำรวจที่มีปัญหาชีวิตบางอย่างจนทำให้เขาดูเคร่งเครียดเหมือนคนสติแตกอยู่ตลอดเวลา

รีวิวหนังฝรั่ง The Guilty

คือเรื่องราวของนายตำรวจรับสายฉุกเฉิน 911 โจ เบย์เลอร์ ที่ได้รับสายจากหญิงสาวคนหนึ่งว่ากำลังถูกชายคนหนึ่งลักพาตัวไปอยู่ในรถตู้สีขาวบนถนนหลวง และกำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง และในขณะเดียวกันเธอมีลูกเล็ก 2 คนอยู่ในบ้านที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพังด้วย

โจ เบย์เลอร์ ต้องประสานงานกับตำรวจให้ช่วยติดตามรถตู้สีขาวคันนั้นให้ได้ แต่ก็มีอุปสรรคที่สำคัญก็คือ เขาไม่รู้ทะเบียนของรถคันนั้นจึงประสานงานกับตำรวจให้ติดตามได้ยาก ซ้ำร้ายเป็นช่วงที่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ลุกลามแทบทั้งเมืองทำให้เจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ

ในขณะเดียวกันโจ เบย์เลอร์ ต้องประสานงานให้ตำรวจเข้าไปช่วยเหลือเด็ก 2 คนที่ ซึ่งพี่สาวกำลังอยู่ในอาการหวาดกลัวอยู่ในบ้านกับน้องชายวัยแบเบาะ แถมยังต้องประสานงานให้เพื่อนตำรวจอีก 1 คนเข้าไปค้นบ้านผู้ชายที่เป็นผู้ต้องสงสัยอีกด้วย

นี่คือสถานการณ์สุดยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นกับโจ เบย์เลอร์ เจ้าหน้าที่รับสายด่วน 911 เขาต้องหาวิธีช่วยเหลือทุกคนให้ได้ โดยที่ไม่สามารถเห็นสถานะการอะไรเลย ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหน้าตาของหญิงสาวที่โทรมาขอความช่วยเหลือเป็นอย่างไร เขาต้องทำงานแข่งกับเวลาซึ่งทุกวินาทีที่เสียไปนั้นมันหมายถึงชีวิตของหญิงสาวที่กำลังจะหมดลงไป

และนอกจาก เจค จิลเลนฮาน แล้ว ในหนัง The Guilty ยังมีนักแสดงชั้นนำคนอื่นๆ มาร่วมแสดงเรื่องนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น “ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด”, “ไรลีย์ คีโอ”, “อีธาน ฮอว์ก” หรือ “พอล ดาโน” แต่พวกเขามารับเชิญในรูปแบบเสียงสนทนาเท่านั้น และเข้ามาช่วยเติมเต็มการเล่าเรื่องในหนังแต่เป็นอย่างดี แต่หนังก็ยังมี “เอเดรียน มาร์ติเนซ”, “คริสตินา ไวดาล” และ “เดวิด แคสเทนด้า” ร่วมแสดงเข้าฉากสมทบในหนังเรื่องนี้ด้วย

โดยภาพรวมแล้ว The Guilty เป็นหนังที่ดูสนุกได้เพราะสถานการณ์พาไป

แม้ว่าเรื่องราวอาจจะเครียดและกดดัน แต่ลูกเล่นที่หนังปล่อยให้คนดูตามติดเรื่องราวด้วยแค่วิธีการฟังเสียงเพียงเท่านั้น เป็นไฮไลท์ที่โดดเด่นและทำให้คนดูแทบละลายตาไปจากหนังเรื่องนี้ไม่ได้ แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะยังไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบใดๆ แต่มันก็เพลิดเพลินได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการเล่าเรื่องด้วยภาพเหตุการณ์เลย

ความกระวนกระวายจนพาลเอานิสัยแย่ ๆ ใส่เพื่อนร่วมงานและคนรอบข้าง ทำให้เขาดูเป็นตัวละครตำรวจสีเทา ๆ ที่เรายังไม่รู้ว่าเขาทำผิดพลาดในชีวิตอะไรมา ซึ่งหนังจะค่อย ๆ เผยให้เราทราบเรื่องราวของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ไปพร้อมกับสถานการณ์สายหญิงสาวที่โทรมาร้องไห้ขอความช่วยเหลือจากการถูกลักพาตัว ที่ยิ่งเรื่องเดินไป ข้อมูลยิ่งมากขึ้นและความรุนแรงของคดีก็ยิ่งน่าหวาดหวั่นขึ้นด้วย พอผสมกับความไม่นิ่งขาดสติของตัวเบย์เลอร์เข้าด้วยแล้ว มันก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ลงทุกที

นี่คือหนังแนวดราม่าระทึกขวัญ ที่มีข้อจำกัดในด้านของพื้นที่ ข้อจำกัดของเวลา ข้อจำกัดของสถานการณ์ รวมถึงข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับการให้ตัวละครโจ เบย์เลอร์ รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านเสียงที่ได้ยินเท่านั้น เขาจึงทำหน้าที่วิเคราะห์ทุกอย่างที่ได้ยิน ตีความหมาย คาดเดาสถานการณ์ และจำเป็นต้องตัดสินใจในการช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกลักพาตัว ซึ่งเราในฐานะคนดูก็จะได้รับรู้ทุกอย่างตามที่ตัวละครโจ เบย์เลอร์ได้ยินไปพร้อม ๆ กับเขา

แน่นอนว่าการที่หนังได้ทำให้มีข้อจำกัดมากขนาดนี้ รีวิวหนังฝรั่ง The Guilty

ก็สามารถชักจูงคนดูให้คล้อยตามทุกสิ่งทุกอย่างของหนังไปได้ และทุกครั้งที่ตัวละครโจ เบย์เลอร์ตัดสินใจทำอะไรไปเราก็คอยหรือเห็นดีเห็นชอบกับการตัดสินใจไปด้วย และเมื่อถึงเวลาที่หนังหักมุม เราจึงรู้สึกประหลาดใจทุกครั้ง และหนังยังหักมุมหลายครั้งตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งในแง่การหักมุมไม่ว่าจะเป็นการหักมุมกลางเรื่องหรือหักมุมช่วงท้ายเรื่องนั้นถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว

จากนั้นหนังก็สรุปว่า หญิงสาวที่โทรมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ 911 นั้นมีอาการทางจิต เพิ่งออกจากโรงพยาบาลจิตเวช รักษาตัวด้วยการกินยา ซึ่งค่ายานั้นสูงมากจนสามีของเธอไม่มีเงินมาจ่ายค่ายา และให้เธอหยุดการใช้ยา

ทั้งสองสามีภรรยาคู่นี้มีลูก 2 คน ลูกสาวคนโตวัยประมาณ 5-7 ขวบ และลูกชายคนเล็กอีก 1 คนอยู่วัยทารก เนื่องจากภรรยาหยุดการกินยาระงับประสาท จึงทำให้เธอคิดว่าลูกชายคนเล็กที่ร้องไห้มีงูอยู่ในท้อง เธอจึงทำการกรีดท้องลูกชายคนเล็กเพื่องูออก และเมื่อสามีเห็นภรรยาทำเช่นนั้นจึงรีบพาเธอหนีไป ปล่อยทิ้งให้ลูกสาวอยู่กับน้องของเธอ

การที่ผู้ชม (รวมถึงเบย์เลอร์) ต้องคิดไขสถานการณ์ผ่านเพียงเสียงบอกเล่าต่าง ๆ ทางโทรศัพท์เท่านั้น มันก็เลยเป็นรสชาติใหม่ ๆ สำหรับหนังแนวสืบสวน ที่เอาลูกเล่นนี้มาสนองตอบต่อธีมหรือสาระที่ต้องการเน้นย้ำได้อย่างน่าสนใจ น่าเสียดายเพียงว่าการคลี่คลายคดีกับการคลายปมในใจของเบย์เลอร์ที่เป็นธีมใหญ่ของเรื่องมันไม่ได้สอดรับกันนัก คือมันก็พอแถให้ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องเดียวกันสะท้อนซึ่งกันและกันชัด ๆ มันจะสวยกว่านี้แน่นอน

พอดูจบมาถึงเครดิตนักแสดงก็ยิ่งได้ว้าวขึ้นอีก เพราะในบรรดาเสียงทางโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาล้วนมีนักแสดงดังมารับเชิญเช่น อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke) ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด (Peter Sarsgaard) และ พอล ดาโน (Paul Dano) เป็นต้น นี่จึงเป็นข้อแนะนำอีกอย่างว่าควรเปิดดูเสียงภาษาอังกฤษไปเลยคุ้มกว่า ส่วนใครมาตอนไหนเป็นตัวละครอะไรบ้าง อันนี้ไว้เป็นความสนุกในการทายและลุ้นของแต่ละคน

ในขณะเดียวกันที่เจ้าหน้าที่โจ เบย์เลอร์ รับโทรศัพท์ของหญิงสาวคนนั้น เดิมทีเขาก็คิดว่าเธอถูกลักพาตัวจริง เขาจึงแนะนำเธอทุกอย่างผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งหญิงสาวก็แกล้งพูดว่าเป็นการพูดโทรศัพท์กับลูก แล้วท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่โจ เบย์เลอร์ ก็แนะนำให้หญิงสาวหนีจากชายซึ่งเป็นสามีของเธอด้วยการทำให้รถเสียหลัก รวมถึงใช้วัตถุแข็งตัที่ศีรษะจากนั้นหญิงสาวก็สามารถหนีจากสามีของเธอไปได้

ส่วนเพื่อนตำรวจที่โจ เบย์เลอร์ ส่งให้ไปที่บ้านของสามีหญิงสาวคนนั้น ก็ค้นเจอหลายสิ่งหลายอย่างมากมายโดยเฉพาะใบแจ้งหนี้ ค่ายารักษาอาการจิตเวช เมื่อนำเรื่อง ทั้งหมดมาประมวลเข้ากัน   ก็สามารถทำให้โจ เบย์เลอร์ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ และนั่นก็ทำให้รู้ว่าการแนะนำของเขาคือสิ่งที่ผิด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *