รีวิวหนังฝรั่ง Robin Hood ล่มเมืองเพื่อเธอ
ผลงานภาพยนตร์โปรเจกต์ยักษ์ที่นำเรื่องราวของยอดวีรบุรุษจอมโจรมาเล่าตีความในมุมมองใหม่ บู๊กว่า ดุดันกว่า และการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า รับประกันว่าผู้ชมยังไม่เคยได้สัมผัสในเวอร์ชั่นใดมาก่อน โดยหยิบยกเรื่องราวช่วงยุคเริ่มต้นของตำนานโรบิน ดูหนังออนไลน์ ฮูดหลังจากที่เขาไปร่วมรบในสงครามครูเสด ดูหนังฟรี เมื่อกลับมาจึงพบว่าเมืองของเขาถูกคนชั่วยึดครอง โรบิน ฮูดจึงรวบรวมตั้งกองกำลังใหม่เพื่อลุกขึ้นต่อสู้ ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
เรื่องราวของตำนานกว่า 800 ปี ที่ถูกนำมาเล่าใหม่อีกครั้ง
หลังจากเคยถูกทำเป็นหนังมาแล้วหลายเรื่อง (และคะแนนไม่ค่อยดีเลยสักภาค แถมภาคนี้คะแนนยังแย่สุดเลย) แต่ในภาคได้ดาราชื่อดังอย่าง Taron Egerton, Jamie Foxx, Jamie Dornan และ Ben Mendelsohn มาแสดงนำด้วย เรียกได้ว่าฟอร์มยักษ์ไม่ใช่เล่น และแอบมีหวังเล็กๆ
โดยในเรื่องนี้เขาได้เคลมมาว่าจะเป็นเรื่องราวสดใหม่ของโรบินฮู้ดที่ไม่เคยถูกเล่าที่ไหนมาก่อน ซึ่งเนื้อเรื่องมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโรบินฮู้ดที่ไปร่วมรบในสงครามครูเสดเป็นเวลาหลายปี และกลับมาเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ตนเองและบ้านเมือง จากเจ้าเมืองน็อตติ้งแฮม
บทและการดำเนินของเรื่องของเรื่องนี้เป็นเส้นตรงมาก และง่ายดายแบบสุดๆ ไม่ซับซ้อน ไม่วุ่นวาย ทุกอย่างถูกคลี่คลายลงง่ายมาก ความขัดแย้งของแต่ละตัวละครดูเปราะบาง ตัวละครแต่ละตัวดูไม่มีมิติ แบนๆ และเหตุผลในการกระทำหลายๆ อย่างไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
สิ่งที่ชอบมากที่สุดในเรื่องนี้คือการแสดงของ Ben Mendelsohn รีวิวหนังฝรั่ง Robin Hood ล่มเมืองเพื่อเธอ
ที่รับบทเป็นเจ้าเมืองแห่งน็อตติ้งแฮม น่าประทับใจโคตรๆ ดูร้ายจริง น่ากลัวจริง และดูเหมาะกับบทบาทนี้ชะมัด คือเฮียแกเกิดมาเพื่อเล่นบทร้ายชัดๆ ทั้งใน Rogue One, Ready Player One ต่างก็ทำได้ดีมากๆ แล้ว พอเห็นเฮียแกในเรื่องนี้ยิ่งน่าชื่นชมเข้าไปใหญ่ ส่วนทางด้านการแสดงของตัวละครอื่นๆ ยังอยู่ในระดับที่ดี อยู่ในระดับมาตรฐาน
ตามมาด้วยงานสร้างที่ยอดเยี่ยม ทั้งเอฟเฟคต่างๆ โดยเฉพาะฉากแต่ละฉาก ที่รังสรรค์เมืองน็อตติ้งแฮม ในยุคอุตสาหกรรม ออกมาสวยงามไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือฉากแอ็คชั่นบู๊สู้ด้วยธนูของ Taron Egerton ในบทของโรบินฮู้ด ที่เราดูแล้วมันทำให้เราเชื่อ และรับรู้ได้เลยว่า “เฮ้ย ไอ้นี่มันเก่งจริงว่ะ” เพราะเขาได้ฝึกฝนยิงธนูด้วยตัวเองจริงๆ แถมฉากแอ็คชั่นเหล่านั้น มันยังดูเท่ไม่ใช่เล่น กับการสโลว์ยิงลูกศรต่างๆ แต่ฉากการต่อสู้ของโรบินฮู้ดเท่ๆ ก็มีน้อยกว่าที่คาดหวังไว้พอสมควร และนอกเหนือจากการสู้ด้วยธนูแล้ว การต่อสู้ระยะประชิดอื่นๆ ก็ทำออกมาได้ไม่ดีสักเท่าไหร่
พูดถึงฉากแอ็คชั่น ก็ต้องพูดถึงฉากแอ็คชั่นในตอนใกล้จบของเรื่องที่เราได้เห็นในตัวอย่างหนัง ของการเผชิญหน้ากันระหว่างเหล่าทหารและกลุ่มกบฏ ซึ่งมันเปิดได้เท่ ยิ่งใหญ่ ดูอีปิกชะมัด มีการสโลว์โยนระเบิด แต่หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นฉากธรรมดาๆ ที่มั่วซั่วชะมัด อีกทั้งในฉากเดียวกันนั้นมันจะมีจุดดราม่า ละครน้ำเน่าอยู่ ซึ่งส่วนตัวมองว่าไม่ควรด้วยประการทั้งปวง
จากเรื่องเล่าที่มีประวัติยาวนานมากว่า 800 ปี ว่าด้วยจอมโจรที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจรัฐที่ฉ้อฉลและช่วยเหลือชาวบ้านตาดำ ๆ ก็เป็นความคลาสสิกและโรแมนติกที่ทุกสังคมล้วนเผชิญและอัดอั้นคล้าย ๆ กัน และถ้านับเอาเฉพาะฉบับภาพยนตร์ก็ถือว่ามีการทำหนังมากว่า 110 ปีแล้วนับแต่ Robin Hood and His Merry Men (1908) หนังสั้นขาวดำที่ถือเป็นหนังโรบิน ฮูดเรื่องแรก
โรบิน ฮูด กลับมาอีกครั้งโดยการอำนวยการสร้างของ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ
โดยดึงผู้กำกับใหม่ถอดด้ามในวงการจอเงินแต่เก๋าในวงการจอแก้วทั้งซีรีส์ Black Mirror และกำลังมีผลงานในปีหน้ากับ His Dark Materials อย่าง ออตโต บาตเฮิร์ส มากำกับ พ่วงด้วยดาราดังคับคั่งที่คัดตัวกันอย่างโชกเลือดกว่าจะได้แต่ละคนมา ทั้ง ทารอน อีเกอร์ตัน ที่คุ้นตาจากหนัง Kingsman มารับบท โรบิน ฮูด ที่ปรับลุคให้ดูวัยรุ่นขึ้น (ให้อารมณ์หนัง Kingsman ภาคแรกเหมือนกันนะ) และมีภูมิหลังเป็นอดีตทหารครูเสด โดยมีผู้ช่วยฝึกสอนวิชาและคู่หูนาม ลิตเติ้ล จอห์น รับบทโดย เจมี่ ฟ็อกซ์ ซึ่งก็ปรับลุคจากชายสูงใหญ่ล่ำบึ้กมาเป็นชายผิวสีดูเข้มน่ากลัวแทน และได้ตัวร้ายที่ให้บรรยากาศชวนเสียวหลังอย่างเบน เมนเดลโซห์ ตัวร้ายจากเรื่อง Rogue One: A Star Wars Story มารับบทนายอำเภอผู้มีปมกำพร้าและต้องการล้างแค้นทุกคนให้ลำบากเช่นเดียวกับเขา ซึ่งก็สร้างมิติใหม่ ๆ น่าสนใจให้ภูมิหลังตัวละครมากขึ้นด้วย
ตัวเอกของเรา (Taron Egerton จาก Kingsman) ก่อนจะมาเป็น Robin Hood เขาคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดในบ้านผู้ดีอังกฤษ เป็น Lord Robin of Loxley หนึ่งในกลุ่มชนชั้นสูงแห่งเมือง Nottingham และมีคนรักเป็นสาวชาวบ้านรากหญ้า ชื่อ Marian (Eve Hewson จาก Bridge of Spies) แต่ชีวิตพลิกผัน เมื่อเขาถูกเจ้าเมือง Nottingham (Ben Mendelsohn จาก Ready Player One) ส่งไปรบในแดนไกลเป็นเวลาหลายปี ทีนี้พอกลับมา ปราสาทของเขาก็ถูกยึด แถมคนรักก็ไปมีแฟนใหม่ คือ Will (Jamie Dornan จาก Fifty Shades of Grey) ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มนักเคลื่อนไหวทางการเมืองคนหนึ่งของชาวเหมือง
จากคนที่เคยมีทุกสิ่งอย่าง ตอนนี้ Robin ต้องพยายามทำเพื่อให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างคืน รีวิวหนังฝรั่ง Robin Hood ล่มเมืองเพื่อเธอ
โดยเฉพาะผู้หญิง โดยมี Yahya หรือ John (Jamie Foxx จาก Django Unchained) เพื่อนใหม่ที่เพิ่งพบกันจากสงคราม มาเป็นเมนเทอร์ช่วยสอนการรบและการยิงธนูให้ ซึ่งแรก ๆ เขาก็ปล้นหลวง (ที่ฉ้อโกงประชาชนมาอีกที) แล้วแอบเอาเงินไปให้ Marian เท่านั้น แต่ภายหลังเขาก็เอาไปแจกจ่ายชาวบ้านด้วย จนเป็นความหวังของประชาชน และนำไปสู่การปฏิวัติในที่สุด
มันเป็นเรื่องราวบนดินแดนอังกฤษในยุคไหนก็คงไม่ต้องไปสนใจมัน แต่มันเกิดขึ้นในแถวๆ เมืองนอตติ้งแฮม ที่ที่ โรบิน แห่งล็อกซ์ลีย์ (Taron Egerton) อยู่ดีๆ ก็ถูกบังคับให้ต้องไปเป็นทหาร ไปร่วมรบอยู่ในถิ่นอาราเบีย ก่อนจะกลับมายังคฤหาสน์หลังเดิมที่เคยอยู่นอตติ้งแฮมใน ‘พยัคฆ์ร้ายโรบินฮู้ด’ เป็นเมืองอุตสาหกรรม เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและศาสนา ซึ่งหากนอตติ้งแฮมล่มสลาย จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในแผ่นดินอังกฤษ และดูเหมือนท่านเจ้าเมืองก็จะใช้การเมือง ศรัทธา และเงินตรานี่แหละที่ยึดยื้อเมืองนี้เอาไว้
นอกจากเนื้อหาที่รู้ ๆ กันดีแล้วอย่างการเป็นผู้นำชุมชนลุกขึ้นสู้กับอำนาจทรราชย์แล้ว
หนังยังมีซับพล็อตเรื่องความรักสามเส้าเข้ามาอีก เมื่อหนึ่งในผู้นำกลุ่มต่อต้านนายอำเภอที่แสดงโดย เจมี่ ดอร์แนน จากหนัง Fifty Shades of Grey (2015) ก็ตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกับโรบิน ฮูด โดยนางเอกของเรื่องก็ได้ อีฟ ฮิวสัน ลูกสาวสุดสวยของ โบโน่ แห่งวง U2 มารับบทนำด้วย ซึ่งหนังก็วางตัวละคร 3 เส้านี้ได้น่าสนใจสามารถเล่นเผื่อมีภาคต่อได้สบาย ๆ แถมทวีความเข้มข้นมากขึ้นด้วย เพราะดอร์แนนเป็นสายหลักการต่อสู้อย่างสันติ ในขณะที่โรบินเป็นสายก่อการร้าย ซึ่งขัดแย้งโดยหลักการกันเอง
นอกจากนี้ คาแรกเตอร์ของ Robin Hood และคู่หู ก็ดูตลกน่ารักมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็ต้องบอกว่า Taron Egerton เป็นนักแสดงดาวรุ่งที่มีเสน่ห์และมีลายเซ็นชัดเจนอยู่แล้ว และไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวังแม้แต่น้อย
ส่วน CG และสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ รวมถึงฉากบู๊แอ็คชั่น เวอร์ชั่นนี้ก็ทำได้ภาพสวยและดูสนุกขึ้นตามยุคสมัย ฉากแอ็คชั่นแต่ละฉากก็ทำได้มันส์ดี เว่อร์ดี เหมือนดูหนังฮีโร่ 2018 เรื่องหนึ่งจริง ๆ ไม่ใช่แค่โจรป่าธรรมดา ซึ่งก็ชอบอีกเช่นกัน
แต่เป็นที่น่าเสียดายแทนวัตถุดิบที่การกำกับและการตัดต่อยังไม่ลงตัว บางจุดก็เล่าเรื่องได้ไม่น่าดึงดูด บางจุดก็เล่าซะตัดฉับไว เร่งรีบไปไหนไม่รู้ จนเรารู้สึกขาดความต่อเนื่องและไม่ก่อให้เกิดความอินอย่างที่ควรจะเป็น ฉากแอ็คชั่นที่ว่าโอเค แต่มันก็โอเคเมื่อเป็นฉากเดี่ยว ๆ ของมันเท่านั้น พอมาปะติดปะต่อรวมกันทั้งเรื่อง มันยังไม่โอเค