รีวิวหนังฝรั่ง Interstellar

เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกใบเดิมที่เราอยู่ทุกวันนี้ เริ่มเกิดวิกฤตแห้งแล้ง พืชล้มตาย ฝุ่นเต็มบ้านเมือง เหลือเพียงข้าวโพดที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งต้องยอมรับว่าหนังนำเสนอส่วนนี้ในช่วงต้นเรื่องได้ดีในระดับหนึ่ง มีการเก็บรายละเอียดในเรื่องของความเป็นอยู่ของผู้คนว่าชีวิตพวกเขาแตกต่างจากโลกปกติตอนนี้อย่างไร ดูหนังออนไลน์ ง่ายๆมันก็คือใกล้วันสิ้นโลกนั้นแหละ แต่ตัวหนังนำเสนอออกมาให้ดูมีสมจริงและความเป็นไปได้ ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา

ไม่ใช่จู่ๆโลกระเบิดอะไรทำนองนั้น และแม้แต่นักบินอวกาศอย่างพระเอกก็ยังต้องมาทำไร่ ทำสวน เพื่อความอยู่รอด แต่แล้ววันหนึ่ง NASA ก็ค้นพบว่าพืชเผ่าพันธุ์สุดท้ายอย่าง ข้าวโพด ใกล้จะดับสูญไปในอีกไม่ช้า และรุ่นลูก รุ่นหลานของพระเอกก็จะเป็นรุ่นสุดท้ายที่มีชีวิตอยู่บนโลก ภารกิจค้นหาดาวดวงใหม่จึงเริ่มขึ้น! ดูหนังฟรี 

ในเรื่องตัวบทถือว่าทำมาได้ดีในเรื่องการสนทนาของตัวละคร

รีวิวหนังฝรั่ง Interstellar

ที่ไม่ปรัชญาจ๋าจนเกินไป แต่วิทยาศาสตร์ฮาร์ดคอล้วนๆ (แต่ไม่ต้องกลัวตัวหนังมันจะโชว์ออกมาให้เข้าใจที่สุดเอง) ส่วนในเรื่องของตัวละครบางทีก็อาจแปลกๆไปบ้าง บางคนจู่ๆก็โผล่มาไม่มีที่มาที่ไป บางฉากก็โม้ไม่ค่อยเมคเซ้นส์ แต่ดูสนุก ลุ้นระทึกดีมาก ต้องบอกเลยว่ามีฉากเรียกน้ำตาคนดูไม่ต่ำกว่า 3-4 ฉาก !!! และผมไม่เคยดูหนังแล้วน้ำตาไหลในโรงมาหลายเดือนแล้ว เรื่องนี้เล่นเอาอยู่หมัดมาก ลองคิดดูว่าพ่อคนหนึ่งที่ต้องจากลูกไปอวกาศอันแสนไกลโพ้นโดยที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเจอหน้าลูกเมื่อไหร่ จนลูกโตขึ้นอายุเท่าพ่อก็ยังไม่กลับมา ลูกอีกคนก็เชื่อว่าพ่อตายแล้ว ทั้งๆที่พ่อคนนั้นกำลังนั่งเปิดดูข้อความของลูกๆอยู่บนยาน และยังไม่จากไปไหน ได้แต่หวังว่าสักวันจะได้พบหน้าลูกอีกครั้งหลังจบภารกิจ

นับว่าเป็นโชคดีที่ผมได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในแบบ IMAX ฟิล์ม 70mm. จอยักษ์ที่สุดในประเทศไทย โรงเดียวที่ฉายแบบฟิล์มและเป็น 1 ใน 50 โรงทั่วโลกที่ได้ฉายในระบบนี้ ได้เห็นภาพอันเกิดจากจินตนาการมนุษย์บนจอยักษ์ที่ได้ภาพเต็มจากบนสุดจนถึงล่างสุดของจอเกือบตลอดเรื่อง ได้อรรถรสของการท่องอวกาศที่ยังไม่มีหนังเรื่องไหนจะก้าวไปถึง เมื่อมนุษย์เลือกจะหาที่ทางใหม่ตั้งรกราก หลังพบว่าโลกนี้กำลังมีสภาพไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยของมนุษย์มากขึ้นทุกทีๆ

คราวนี้เป็นครั้งที่สองที่เราได้ดูหนังเรื่องนี้ และเราเชื่อว่าหลายคน(ที่ชอบ) น่าจะจัดเรื่องนี้ไปหลายรอบแล้วเช่นกัน เป็นเรื่องที่เราคิดว่าควรดูในโรงนะ เพราะจากประสบการณ์ที่ดูทั้งในโรงและดูที่บ้านเฉยๆมาแล้วนั้นทำให้เข้าใจได้เลยว่าดูในโรงมันดีกว่าขนาดไหน เพราะงานภาพ และโดยเฉพาะงานเพลงที่มันกระหึ่มและดึงอารมณ์มาก ถ้ามีโอกาสหนังเรื่องนี้ได้กลับมาฉายอีกครั้งอะไรประมาณนี้เราอยากให้ทุกคนได้ไปดูกันนะ

เรื่องราวในวันที่โลกไม่เหลือทรัพยากรอีกต่อไปแล้ว รีวิวหนังฝรั่ง Interstellar

รีวิวหนังฝรั่ง Interstellar

ผลกระทบที่ทำให้ไม่มีอาหารเพียงพอ ปลูกพืชผลอะไรก็ไม่ขึ้น เหลือแต่เพียงข้าวโพดเท่านั้นที่จะเป็นอาหารที่เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวของมนุษย์ ตัวเอกของเราเป็นนักบินเก่าผู้ซึ่งได้พบกับฐานลับนาซ่าโดยบังเอิญ พวกเขาต้องแอบคิดค้นประดิษฐ์ของเพราะเรื่องงบประมาณ ตัวเอกได้ไปพบและถูกเชิญชวนให้ไปสำรวจโลกใหม่กับพวกเขาในฐานะนักบิน โดยภารกิจนี้ดำเนินมานานกว่า 10 ปีแล้วและพวกกลุ่มของตัวเอกในครั้งนี้ต้องไปตามดาวที่กลุ่มก่อนหน้าส่งสัญญาณออกมาว่าพอเป็นไปได้ที่จะใช้เป็นโลกใหม่

หนังนานมาก ประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที แต่พูดได้เลยว่าไม่มีจุดไหนที่น่าเบื่อเลยสักนิดเดียว หนังเดินไปอย่างรวดเร็ว เริ่มจากปูเรื่องราวโลกในปัจจุบันกับปัญหาที่เขาต้องพบทั้งเรื่องขาดแคลนอาหารและฝุ่นที่ฟุ้งทั่วไปหมด จนเดินเรื่องตอนพระเอกเจอกับนาซ่า และการเข้าร่วมภารกิจ และไปที่ดวงดาวต่างๆ คือเรื่องเดินไปเร็วมากและเดินหน้าไปเรื่อยๆไม่มีเวลาให้หยุดพักเลย และที่สำคัญคือใส่ประเด็นสำคัญมาตั้งแต่ต้นเรื่อง คือมันเป็นจุดไคลแมกซ์จุดคลายประเด็นของเรื่องที่หนังใส่มาให้เราเห็นตั้งแต่แรกแล้วอยู่ที่ว่าเราจะเคลียร์มันได้ไหม เหมือนกับหลายๆเรื่องที่ผ่านมาของผู้กำกับคนนี้ ที่สำคัญที่เห็นได้ชัดก็น่าจะเป็นประเด็นครอบครัวนี่แหละ ที่ยังคงความดราม่าและความสำคัญตลอดมาในหนังแทบทุกเรื่องของเขา

กระนั้นสิ่งที่หนังปูให้ในช่วงแรก มันจะเริ่มต่อยอดส่งพลังต่อให้กับช่วงองค์สองที่เป็นกลางเรื่อง ซึ่งเริ่มดำเนินเรื่องได้สนุกขึ้น และน่าติดตามมากขึ้น และเมื่อมาถึงช่วงท้ายๆของเรื่อง หนังมันได้ยกระดับขึ้นไปอีกเท่าตัวของความเหนือชั้นชนิดที่ว่า ฉากตีลังกาตลบหัวในInceptionกลายเป็นขี้ฝุ่นไปเลย อีกทั้งเนื้อเรื่องที่สานต่อกันมาทั้งเรื่องได้ถูกคลี่คลายได้อย่างน่าทึ่ง

เสมือนกับรอบนี้โนแลนได้สร้างเขาวงกตชั้นใหญ่ที่สุด

รีวิวหนังฝรั่ง Interstellar

หรือถ้าเรียกสนุกๆคือ “วงกตอวกาศ” ที่สามารถถอดรหัสตอนจบให้เราไปเจอจุดเริ่มต้นด้วยเส้นบางๆที่เรามองไม่เห็น ได้อย่างแยบยลและเฉียบขาด และทั้งเรื่องก็เต็มไปด้วยข้อคิดทางปรัชญามากมายที่น่าสนใจ ทำให้มองข้ามช่องโหว่เรื่องบทที่บางคนย้อนแย้งหรือจังหวะหนังในบางส่วนไปได้ โดยปริยาย
ต้องบอกว่าหนังฉลาดนี่มันฉลาดจริงๆ ฉลาดไม่พอ แถมยังทะเยอทะยาน ช่างกล้าเอาสิ่งนี้มาเสนอคนดูซึ่งถือว่าเสี่ยงมาก ผลก็อย่างที่เห็นคือมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ถ้าใครที่เข้าถึงหนังได้นี่ รู้เรื่องแน่นอนสำหรับเรื่องนี้ การแสดงของนักแสดงนี่เรียกได้ว่าท๊อปฟอร์มและอาจเรียกน้ำตาได้ในบางซีนแบบ ไม่รู้ตัว
ฮานส์ ซิมเมอร์ รอบนี้ไม่โฉ่งฉ่างด้านดนตรีประกอบแบบเก่า แทนที่จะโหมดนตรีกลับมีลูกเล่นค่อยๆพีคขึ้นไปช้าๆซึ่งถือเป็นเสน่ห์อีกแบบ รวมถึงการกล้าตัดสินใจทำให้ฉากบางฉากในอวกาศไม่มีเสียงเลยด้วย ในเรื่องของมุมภาพก็ถือว่าใช้ได้ แต่ยังไม่ได้แปลกใหม่อะไรนัก ที่แปลกใหม่และดูดีคือโปรดักชั่นดีไซน์ ตัวฉากต่างๆทำออกมาได้ดีมาก และเอฟเฟคต่างๆถือว่าทำได้สมจริงและดูดีมากๆ
และที่สำคัญ การดูเรื่องนี้ด้วย IMAX 70 MM ถือเป็นความคุ้มค่าแบบจัดเต็มเท่าที่หนังเรื่องนึงจะมอบให้ได้ เพราะฉากส่วนที่ถูกขยายนั้น เพิ่มอรรถรสในการชมเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งเสียงกระหึ่มต่างๆ ทำให้เรารู้สึกประหนึ่งได้อยู่บนนอกโลกจริงๆ

เรื่องนี้หลายคนเชื่อว่าถ้าไม่ชอบก็เกลียดเลย รีวิวหนังฝรั่ง Interstellar

สำหรับคนที่เกลียดมีถึงขนาดตั้งกระทู้ด่าว่าเป็นหนังห่วยแห่งปีมาแล้ว แต่คนที่ชอบก็ถึงขั้นบอกว่าให้เตรียมซื้อแผ่นมาตั้งบนหิ้งแล้วบูชากราบสามที ได้เลย ส่วนตัวผม ชอบในประเด็นต่างๆที่หนังต้องการจะสื่อมากครับ แม้จะเล่นกับอารมณ์น้อยไปนิด แต่เชื่อไหม ความที่ไม่ต้องพยายามพีคอารมณ์แบบนี้แหละมันทำให้เราอินแบบไม่รู้ตัว ร็อีกทีการเดินทางที่ยิ่งใหญ่และยาวนานนับชั่วอายุคนซึ่งได้กินเวลาเกือบสาม ชั่วโมง ก็จบลงแบบห้วนๆตามสไตล์โนแลนซะแล้ว
และนี่คือหนึ่งในผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของปี2014 ถือเป็นงานหนังไซไฟของคนรุ่นใหม่ที่ต้องยกขึ้นหิ้งจดจำกล่าวขานไปอีกยาวนาน นับว่าเป็นอีกหนึ่งตำนานเลยทีเดียวครับกับInterstellarเรื่องนี้
มีผู้กำกับเพียงไม่กี่คนที่หลงใหลในการติดตามอย่างคริสโตเฟอร์ โนแลน แม้ว่าInterstellarจะไม่ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์หรือประสบความสำเร็จทางการเงินเท่ากับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา แต่แฟน ๆ ของ Nolan หลายคนยังคงถือว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาลแมทธิว แม็คคอนาเฮย์แสดงเป็นชายผู้ไม่เต็มใจที่จะทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลังเพื่อเข้าร่วมภารกิจอวกาศเพื่อค้นหาดาวเคราะห์ที่เหมาะสมสำหรับมนุษยชาติ ด้วยภาพที่สวยงาม เรื่องราวที่ซับซ้อน และการแสดงที่ยอดเยี่ยมInterstellarถูกมองว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของไซไฟสมัยใหม่

ความสัมพันธ์ของพ่อลูก และมีการพูดถึงพลังแห่งรักด้วย โดยถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ลึกซึ้ง สะเทือนใจ ซึ่งขัดแย้งกับหลักการวิทยาศาสตร์ในหนังพอสมควร ขณะเดียวกันก็มีซีนที่ทำให้ผู้ชม ตื่นเต้น ลุ้นระทึก คาดเดายาก ชวนติดตามตลอด การถ่ายภาพสวยงามไม่แพ้ Gravity ที่เข้าฉายเมื่อปีที่แล้ว ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ยกระดับให้คนดูได้อรรถรสเพิ่มขึ้น

แมธธิว แม็คคอนนาเฮย์ ในบท คูเปอร์ แสดงได้ดีสุดๆ อารมณ์มาเต็ม โอบอุ้มหนังไว้ได้ เชื่อว่าตัวละครนี้จะส่งให้เขาได้ลุ้นออสการ์ตัวที่สองในชีวิตช่วงต้นปีหน้า ส่วน แอนน์ แฮททาเวย์ ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว บทอาจจะไม่ได้เด่นนัก แต่เธอก็ทำให้ตัวละคร เอมิเลีย พิเศษมากๆ อีกตัวละครที่ชอบส่วนตัวคือ เจ้าหุ่นยนต์ทาร์ส ที่ทำให้นึกถึง C3P0 ใน Star wars ผสมกับ J.A.R.V.I.S. ใน Iron man อ้อช่วงกลางเรื่องมีตัวละครลับออกมาเซอร์ไพรส์ด้วย

เมิร์ฟ ลูกสาวคนเล็กของเขารู้สึกโกรธที่พ่อจะทิ้งตนไป เธอพยายามห้ามพ่อแต่ก็ไม่สามารถที่จะหยุดความตั้งใจของคูปเปอร์ได้ จึงได้ให้สัญญากับลูกสาวพร้อมให้นาฬิกาเป็นของขวัญเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า ในวันนึงเวลาของทั้งสองอาจเท่ากัน พ่อลูกอาจมีอายุเท่ากันก็ได้ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของเวลา ในฉากที่พ่อจำต้องลาเมิร์ฟและครอบครัวออกมา ระหว่างที่เขาขับรถออกมาช่างน่าเจ็บปวดเหลือเกินกับการที่ต้องฝืนใจตัวเอง ยอมเจ็บปวดหัวใจในวันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีกว่าในวันข้างหน้าของโลกและครอบครัวของเขาเองด้วย ซึ่งเหตุผลนี้อาจมากเกินกว่าที่ลูกของเขาจะเข้าใจในช่วงเวลานั้น เขาได้แต่บอกลูกเพียงว่า “พ่อแม่ได้เกิดมาเป็นความทรงจำของลูก ในอนาคตพ่อก็คือผีนั่นเอง”

เมื่อผู้เป็นพ่อต้องพรากจากลูกสาวสุดที่รักไปไกลแสนไกลอย่างที่ไม่รู้วันกลับ

และไม่อาจบอกเหตุผลที่แท้จริงได้ มันช่างเจ็บปวดใจยิ่งนักเมื่อสื่อสารกันได้เพียงนานๆ ครั้ง หลงเหลือไว้แต่ความไม่เข้าใจกัน แม้รู้ว่าลูกสาวฉลาดแค่ไหนแต่ภาระหน้าที่ต่อมนุษยชาติและตัวตนความเป็นนักบินอวกาศมันบอกให้ทำสิ่งที่สำคัญกว่า กระนั้น ความรักครอบครัวอันเป็นอารมณ์ของมนุษย์ก็ไม่เคยจากไปไหน

เป็นภาพยนตร์แนวไซไฟซึ่งพะยี่ห้อผู้กำกับอีกคนที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับที่มีลายเซ็นในการทำหนังชัดเจน หนังทุกเรื่องที่เขากำกับมาเรียกได้ทำเงินถล่มทลาย หนังของเขามีประเด็นชวนให้ถกเถียง ขบคิดหลังหนังจบลงอยู่เสมอ แต่อย่างไรก็ตามส่วนตัวแล้วผมกลับค่อนข้างชอบ Interstellar น้อยกว่าหนังเรื่องก่อนๆหน้านี้ เนื่องจากตัวหนังเล่นประเด็นซีเรียสขึงขังมากในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นแล้วหนังก็ค่อนข้างมีความแฟนตาซีในช่วงหลังจนลดทอนความน่าเชื่อถือของเหตุการณ์พอสมควร แม้ว่าเหตุผลและตรรกะต่างๆจะยืนพื้นอยู่บนหลักการของวิทยาศาสตร์ก็ตาม

ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวของโลกมนุษย์ในอนาคตเมื่อพืชพรรณธัญญาหารล้มตายกันไปเป็นจำนวนมาก เหลือแค่เพียงข้าวโพดเท่านั้นที่มนุษย์สามารถทานได้ มนุษย์จึงจำเป็นต้องค้นหาดาวดวงใหม่ในการใช้เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ คูเปอร์(แมททิว แมคคอนนาเฮย์) ได้รับมอบหมายให้ขับยานเพื่อปฏิบัติภารกิจในการค้นหาดาวเคราะห์ในอีกกาแล็กซี่ ซึ่งเขาต้องเดินทางข้ามผ่านรูหนอน แต่นั่นหมายความเขาจะต้องละทิ้งลูกสาวอย่าง เมิร์ฟ(แมคเคนซี่ ฟอยด์) เอาไว้ ซึ่งการข้ามกาแล็กซี่นั้นทำให้ระบบเวลาแตกต่างกันมาก และมีโอกาสเป็นไปได้ที่ว่ายามที่เขากลับมาบนโลก ลูกสาวของเขาอาจจะแก่เฒ่าไปแล้ว

อันที่จริงแล้วตัวหนังมีประเด็นมากมายให้ชวนตั้งคำถามและชวนถกเถียง ซึ่งแน่นอนผมว่าหนังสไตล์ไซไฟที่เปิดช่องให้คนดูกลับมาทำการบ้านเป็นหนที่สองนั้นควรค่าแก่การนับถือว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่ไม่ใช่แค่เพียงความบันเทิงชั่วครู่ชั่วยาม จบกันแล้วก็จบกันไป แต่มันจะถูกจดจำในฐานะภาพยนตร์ที่สามารถหยิบมาเป็นกรณีศึกษาได้เป็นอย่างดี

แม้จะเป็นหนังไซไฟที่พูดถึงการข้ามจักรวาล แต่รากฐานของหนัง Interstellar กลับพยายามพูดถึงเรื่องที่เล็กน้อยยิบย่อยแต่เป็นเรื่องใหญ่ไม่แพ้จักรวาลนั่นก็คือเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ของมนุษย์ ซึ่งถูกถ่ายทอดและเน้นหนักในส่วนของพ่อลูก โดยเฉพาะคูเปอร์และเมิร์ฟ ซึ่งแม้ว่าเขาจะเดินทางจากลูกสาวเขาไปแต่ทุกนาทีที่จากเธอมาเขาก็ได้แต่คิดถึงลูกของตัวเอง เมิร์ฟก็เช่นเดียวกันไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความหวังในการจะได้พบกับพ่อของตัวเองนั้นก็ยังเป็นสิ่งที่เธอเฝ้ารออยู่ดี เช่นเดียวกับพ่อลูกอย่าง แบรนด์ (แอนน์ ฮาธาเวย์) และศาสตราจารย์ แบรนด์ (ไมเคิล เคน) ที่ห่วงหากันไม่แพ้ครอบครัวอื่นๆ

หนังมีส่วนผสมที่หลากหลาย เหมือนจะหยิบจับมาจากหนังหลายๆ เรื่อง ดูแล้วก็อาจจะนึกถึงหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรียกได้ว่าหยิบจับแล้วนำมาผสมผสานได้อย่างน่าสนใจ ทั้งเรื่องดราม่าในครอบครัว วิทยาศาสตร์เชิงอวกาศ แง่มุมความคิดที่เห็นต่างเมื่อมองคนละขั้ว และแง่มุมเชิงปรัชญาที่ลุ่มลึก ‘Interstellar’ ความยาว 2 ชั่วโมง 49 นาทีของโนแลนดูจะไปได้สวยกับการเล่าเรื่องที่เกี่ยวกระหวัดกันไปมา แสดงให้เห็นถึงจินตนาการอันล้ำลึกและก้าวไปไกลกว่าหนังไซไฟอวกาศเรื่องอื่นๆ ตัวเอกต้องเดินทางไปไกลแสนไกลผ่านรูหนอนมุ่งสู่ระบบดวงดาวอื่น ทั้งยังผจญกับเหตุการณ์ต่างๆ นานาที่พันเกี่ยวทุกๆ สิ่งที่ถูกเล่าเอาไว้ด้วยอย่างล้ำลึก!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *