รีวิวหนังฝรั่ง Hellboy

รีวิวหนังฝรั่ง Hellboy เด็กโข่งจากนรก ภาคนี้เป็นการรีบู๊ตใหม่ แต่โครงเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปนัก นอกจากเพิ่มที่มาที่ไปของพระเอกให้มีปมมากขึ้น จากแค่ลูกปีศาจจากนรก ที่ถูกอัญเชิญขึ้นมาโดยนาซี กลายมาเป็นสืบสาวชาติกำเนิดไปไกลจนถึงยุคสมัยกษัตริย์อาเธอร์ ซึ่งภาคนี้พยายามผูกเรื่องไว้เป็นเมนธีมของเรื่อง เว็บดูหนัง 

ปี 2004 ผกก.กิลเยอร์โม เดล โทโร่ ได้ดัดแปลงหนังสือการ์ตูน Hellboy ที่สร้างสรรค์โดย Mike Mignola ลงสู่จอเงิน และประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลจนมีภาคต่อมาอีกภาค รวมทั้งทำให้รอน เพิร์ลแมนเป็นที่จดจำในฐานะของฮีโร่พันธุ์นรก ทว่าหลังจากนั้นแฟรนไซส์ Hellboy ก็เงียบหายไป จนกระทั่งเมื่อปี 2017 ได้มีการประกาศว่าLionsgate จะทำการรีบู๊ตHellboyใหม่อีกครั้งโดยได้ David Harbour (จาก Stranger Things)มารับบทนำ และได้ Neil Marshall (จาก Dog Soldiers)มากำกับ แถมยังมาในโทนที่มืดหม่น และรุนแรงขึ้นกว่าเดิมมากอีกด้วย

ในอดีตกาล ราชินีเลือดนามว่านิมเว (Milla Jovovich จากแฟรนไซส์ผีชีวะ) ได้ถูกกษัตริย์อาเธอร์ผนึกไว้ ทว่าปัจจุบันได้มีผู้พยายามคืนชีพราชินีปีศาจอีกครั้ง ขึงเป็นหน้าที่ของเฮลล์บอยที่ต้องมาพิฆาตนางปีศาจลงเสีย โดยภาพรวมแล้ว Hellboy เป็นหนังที่ทำตามคำคุยไว้ได้ดี คือมีความมืดมน และออกไปในโทนสยองขวัญมากขึ้น สัตว์ประหลาดทั้งหลายในเรื่องออกแบบมาได้น่าเกลียดน่ากลัว และมีฉากแผลงฤทธิ์ที่โหดเลือดสาดชวนแหวะเอามากๆ แถมฉากพวกนี้ก็มีเยอะเสียด้วย ถือว่าสามารถสนองผู้ชมที่ชอบอะไรโหดๆพวกนี้ได้มากทีเดียว และฉากแอ็คชั่นเองก็ทำออกมาได้ดุเดือดใช้ได้เลยทีเดียว

แต่ในด้านเนื้อเรื่องและการเล่าเรื่องของHellboy ค่อนข้างอ่อนพอสมควร จริงๆแล้วหนังมีปมและไอเดียหลายๆอย่างที่น่าสนใจ ทั้งชาติกำเนิดของเฮลล์บอยเอง หรือความขัดแย้งบางอย่างระหว่างเฮลล์บอยและ”พ่อ”ของเขา ซึ่งเป็นจุดที่น่าสนใจมากๆ แต่หนังกลับไม่ได้ให้น้ำหนักกับประเด็นเหล่านี้ รวมทั้งการเล่าเรื่องที่เร็วมากจนไม่มีเวลาให้กับประเด็นดราม่า ทำให้ปมขัดแย้งของตัวละครเหล่านี้ดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่นัก เหมือนทำออกมาไม่เต็มร้อย หนังก็เลยออกมาดูกลวงๆ แต่ก็ยังดีที่ได้แอ็คชั่นหนักๆมาช่วยเสริมให้ไม่น่าเบื่อจนเกินไป เว็บดูหนังฟรี 

“นี่ไม่ใช่ภาค3 แต่เป็นภาครีบู๊ต” เป็นคำที่ผู้กำกับนีล มาร์แชล ประกาศก้อง ว่าหนังของเขาไม่ใช่ภาคต่อจากหนังทั้ง 2 ภาคของ กิเยร์โม เดลโตโร เมื่อปี 2004 และ 2008 ในรอบนั้นหนังอยู่กับค่ายใหญ่อย่างยูนิเวอร์แซล ภาพลักษณ์ของหนังก็เลยดูน่าตื่นตา ตื่นใจ แต่รายได้หนังก็ไม่สมศักดิ์ศรีของหนังซูเปอร์ฮีโร่ ภาคแรก 99.3 ล้าน ภาคสอง 160 ล้านหนังก็เลยหยุดอยู่แค่นั้น ผ่านมา 11 ปี ลิขสิทธิ์ตกมาอยู่กับค่าย Millennium picture ค่ายที่เจริญรุ่งเรืองจากการสร้างหนังลงแผ่นดีวีดี แล้วอัปเกรดตัวเองมาสร้างหนังโรงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี่เอง

รีวิวหนังฝรั่ง Hellboy

ตั้งแต่ Hellboy 2019 ปล่อยตัวอย่างหนังออกมา หลายเสียงก็เริ่มพูดว่าภาพลักษณ์ของหนังดูไม่น่าสนใจ ผิดแผกไปจาก 2 ภาคก่อนภายใต้ความรับผิดชอบของ กิเยร์โม เดลโตโร มาก จนเมื่อได้ดูหนังจริงในความยาว 2 ชั่วโมงเป๊ะ ก็ยืนยันได้ว่าตัวหนังจริงก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นไปกว่าตอนที่ได้ดูตัวอย่างหนัง ทีมงานน่าจะเดินทางผิดตั้งแต่เลือกนีล มาร์แชล ผู้กำกับสายหนังสยองขวัญมารับหน้าที่ ด้วยความคิดว่าน่าจะเข้าทางกับ Hellboy ที่การ์ตูนต้นฉบับก็ดิบโหดพอสมควร และน่าจะประสบความสำเร็จอย่างที่ดีซีและมาร์เวลเคยกรุยทางนี้มาก่อน

ด้วยการใช้ เจมส์ วาน มากำกับ Aquaman , สก็อตต์ เดอริคสัน จาก Sinister มากำกับ Doctor Strange และ เดวิด เอฟ. แซนด์เบิร์ก จาก Light Out และ Annabelle: Creation มากำกับ Shazam! แต่ผลออกมาเห็นชัดว่า นีล ไม่ได้รู้ถึงความพอดี หนังทะลุเลยขั้นของหนังซูเปอร์ฮีโร่ไปไกล อัดแน่นไปด้วยฉากแหวะ

ภาพการต่อสู้โหดที่ตัดหัวคู่ต่อสู้ขาดแบบถี่ ๆ ซากศพที่เละเทะ แขนขาขาดหัวเละ เห็นกันแบบชัด ๆ ที่มากจนควรใช้คำว่า “ยัดเยียด” เป็นการใช้ประโยชน์จากเรต R ได้อย่างฟุ่มเฟือย ทั้งที่ทีมงานคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จอย่าง Deadpool และ Logan 2 หนังซูเปอร์ฮีโร่เรต R ที่เป็นต้นแบบให้หนังซูเปอร์ฮีโร่รุ่นหลังอีกหลายเรื่อง หนังฟรี 

ตัว Hellboy เองก็แทบไม่ได้โชว์กึ๋น โชว์แอ็กชั่นเท่ๆ แบบเวอร์ชั่นก่อนเลย ดูจบยังไม่รู้เลยว่ามีความเก่งโดดเด่นยังไง พลังของอาวุธศักสิทธิ์ที่ตัวเอกมีก็แค่ไว้โชว์ แต่ไม่ได้ใช้งานจริงให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตตามที่หนังวางไว้ ตัวหนังมีฉากแอ็กชั่นประปราย สเกลตอนท้ายดูใหญ่โต แต่อย่าหวังอะไรมากครับ มีแค่ตามเทรลเลอร์ที่ปล่อยออกมา ไม่ได้มีมากกว่านั้น ดูแล้วเหมือนตั้งใจเอามาหลอกขายในเทรลเลอร์ด้วยซ้ำ

แถมหนังภาคนี้พยายามใช้ฉากแหวะๆ มาขายมากกว่าฉากแอ็กชั่น จนกลายเป็นดูยัดเยียดไปมากๆ (ทั้งซูม ทั้งเน้นสมองไส้แตกกระจายเละเทะ) แล้วก็ไม่ได้ช่วยให้ตัวหนังดูดีมีคลาสขึ้นเลย ดูตกต่ำลงด้วยซ้ำที่มาใช้แนวทางนี้เป็นจุดขายจนเกินพอดี

รีวิวหนังฝรั่ง Hellboy

หนังได้ “มิลลา โจโววิช” มาเล่นเป็นบอสหลัก “นีเมีย” ราชินีเลือด จอมเวทย์แห่งยุคมืดจากอดีตกาล ที่ถูกปลุกฟื้นกลับมาในโลกปัจจุบันอีกครั้ง ซึ่งเปิดตัวมาดูดี อย่างน้อยๆ ก็หวังว่าคงมีฉากทำลายล้างโลกเว่อร์ๆ ให้เห็น แต่ป่าวเลยครับ หนังใส่มามีแค่ตามที่เห็นในเทรลเลอร์เท่านั้น แถมยังเน้นเอามิลลามาโชว์ร่องนม กับพร่ำพูดเรื่องเป้าหมายเอา Hellboy มาเป็นราชา คู่กับราชินีอย่างเธอแทบทั้งเรื่อง แล้วก็จบแบบง่อยๆ ไม่สมกับที่เอาดาราระดับนี้มาเป็นบอสเลย เสียของมากๆ

ได้อ่านบทสัมภาษณ์ของนีล มาร์แชล ก่อนดูหนัง ก็รู้สึกชื่นชมกับความตั้งใจครับ นีลเล่าว่าเขาจะไม่เดินตามรูปบบของกิเยร์โม ที่ใส่วิสัยทัศน์ของตัวเองไปใน 2 ภาคก่อนอย่างมาก แต่hellboy ของเขาจะยึดภาพลักษณ์ตามการ์ตูนของไมค์ มิกโนลา ถึงขั้นให้ผู้กำกับภาพถอดแม่สีหลักจากหนังสือการ์ตูนมาคุมโทนสีในหนังให้ออกมาเหมือนการ์ตูนให้มากที่สุด หนังใหม่ 

แต่สุดท้ายภาพที่ออกมาก็ดูซีด ๆ ไม่สดใสชวนมองเอาเสียเลย สีผิวของตัวเฮลล์บอยจากที่เคยเห็นเป็นแดงหม่น พอมาภาคนี้ก็ดูผิวเป็นสีชมพูไปเสียงั้น ความเนียนของชุดก็ฟ้องชัดเจนเหลือเกิน หลาย ๆ ฉากก็เห็นได้ชัดว่าเป็นชุดยาง โดยเฉพาะส่วนหน้าอกที่ต้องโชว์ชัดทั้งเรื่อง ส่วนซีจีในฉากอื่น ๆ ก็อยู่ในระดับมาตรฐาน ไม่ถึงกับว้าวแต่ก็ไม่หลอกตา

รีวิวหนังฝรั่ง Hellboy

ไม่รู้ว่าผู้กำกับกับตัดต่อทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า หรือ เหมือนอย่าง Fantastic 4 ที่ทางค่ายเข้าห้องตัดต่อโดยกันผู้กำกับไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวเลยทำให้หนังออกมาดูไม่เข้ากันสักเท่าไหร่ โดยตอนต้นของหนังนั้นเล่าถึงการมีอยู่ของ Hellboy และองค์กรที่ Hellboy สังกัดอยู่ โดยตัวละครนั้นไม่มีอารมณ์ร่วมกันสักเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะการตัดที่ไม่เรียบเรียงให้ดีเลยทำให้หนังออกมาเป็นอย่างนั้น ถ้าในหนังเกริ่นเรื่องการเกิดของ Hellboy มาตั้งแต่ตอนแรกแล้วใส่อารมณ์ร่วมของพ่อ Hellboy ไปมากกว่านี้หนังอาจจะออกมาได้ดีกว่านี้ก็เป็นได้

แถมตอนกลางเรื่องถึงท้ายเรื่องช่างกระชับและรวดเร็วจนเกินไปไม่ทิ้งช่วงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น มันเลยทำให้คนดูดูไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะใส่ฉากต่อสู้เลือดสาดจนมากเกินไป รวมถึงเสียงเอฟเฟคที่ใช้ในการตัดต่อ หรือเสียงเพลงเข้าจังหวะฉากต่างๆก็ดูขัดๆฟังแล้วไม่ลื่นหูเหมือนเพียงแค่เอาเพลงมาแปะไว้เฉยๆแค่นั้นพอ ซึ่งบางฉากซีนอารมณ์แต่เพลงยังลุ้นระทึกอยู่เลยก็มี ดูหนังฟรี 

ส่วนดีของหนังที่ต้องยอมรับคือพลอตที่น่าสนใจ ด้วยการหยิบตอน The Wild Hunt เป็นซีรีส์ชุดที่ 9 ของ Hellboy มาขยายเป็นเรื่องราวในภาคนี้ เนื้อหาเหมาะกับการใช้เป็นภาครีบู๊ตมาเพราะมีช่วงเกริ่นถึงกำเนิดของHellboy โดยไม่ต้องเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบหนังซูเปอร์ฮีโร่หลาย ๆ เรื่อง บวกกับการหยิบเรื่องราวน่าสนใจจากเล่มอื่น ๆ มาสอดแทรกระหว่างทาง

โดยมีเรื่องราวหลักว่าด้วยภารกิจของเฮลล์บอย ที่ต้องกำจัด “นิมเว” แม่มดมากอิทธิฤทธิ์ที่เคยสร้างวีรกรรมป่วนไว้ในศตวรรษที่ 5 แล้วโดยกษัตริย์อาเธอร์ กับ พ่อมดเมอร์ลิน ร่วมกันกำจัดด้วยการสับร่างเป็นชิ้น ๆ แล้วเอาแต่ละชิ้นส่วนใส่กล่องผนึกอาคม ให้อัศวินแต่ละคนแยกกันไปเก็บซ่อนคนละทิศคนละทาง ผ่านมายุคปัจจุบันอสุรกายหมูป่าก็ลุกขึ้นมารวบรวมชิ้นส่วนแม่มดนิมเวให้กลับมาแผลงฤทธิ์อีกครั้ง

ในภาคนี้เฮลล์บอยรับหน้าที่เป็นมือปราบหลักของ หน่วยงานสำนักวิจัยและป้องกันเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ (Bureau for Paranormal Research and Defense) น่าจะเป็นเรื่องราวในยุคแรก ๆ ของหน่วยงานฯ เพราะมีสมาชิกเพียงแค่ 2 รายคือ ไดมิโอ มือปราบที่แปลงร่างเป็นเสือได้ และ อลิซ โมนาก์ฮาน สาวพลังจิต

ไม่ได้มีสมาชิกครบทีมอย่างที่เคยเห็นใน 2 ภาคก่อนหน้าก็เลยทำให้ขาดสีสันในการปฏิบัติการไปพอสมควร อย่างที่กล่าวว่าหนังมีพลอตที่น่าสนใจ แต่หนังมอบหมายให้มือใหม่อย่าง แอนดรูว์ คอสบี้ ที่เคยมีประสบการณ์เพียงแค่เขียนบททีวีซีรีส์มาแค่ 2 เรื่อง ก็ไม่สามารถขยายพลอตออกมาเป็นหนัง 2 ชั่วโมงให้น่าติดตามได้เท่าที่ควร ทั้งที่มีวัตถุดิบที่น่าสนใจทั้งยักษ์ ทั้งสัตว์ประหลาด แถมด้วยดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ ทั้งแม่มดแต่ช่วงกลางเรื่องเล่นเอาชวนวูบไปได้เหมือนกัน ดูหนังออนไลน์ 

รีวิวหนังฝรั่ง Hellboy

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *