รีวิวหนังฝรั่ง 22 JULY

ผลงานที่สร้างจากเรื่องจริง หลังเหตุโจมตีก่อการร้ายครั้งใหญ่ในนอร์เวย์ ผู้รอดชีวิต ครอบครัวที่โศกเศร้าและประชาชนทั้งประเทศต่างพยายามหาทางฟื้นฟูเยียวยาและทวงความยุติธรรม สืบเนื่องจากบทความตอนที่แล้ว  ดูหนังฟรี หากความน่าเสียดายของ Utøya: July 22 คือการเบือนหน้าหนีความกลัวที่แท้จริงในนาทีสุดท้าย สิ่งที่ทำให้ 22 July ไปไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็น คืออารมณ์เอ่อล้นของตัวบทวิเคราะห์ที่ไม่ยอมสบตากับความกลัวอย่างตรงไปตรงมา ดูหนังออนไลน์ ทั้งที่เนื้อเรื่องหลักส่วนหนึ่งอุทิศให้ตัวละครที่พยายามต่อสู้ทางจิตใจเพื่อเผชิญความกลัวหลังรอดชีวิตจากเกาะอูเตอญา ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา

“หากลูกหรือคนในครอบครัวของคุณ โดนกราดยิงด้วยเหตุผลเพราะพวกเขาอาจเติบโตไปเป็นบุคคลที่ปกครองประเทศด้วยประชาธิปไตยเก๊ๆ จึงจำเป็นต้องถูกกำจัด คุณจะอยากลงโทษผู้ก่อการร้ายคนนั้นไหม และอย่างไร?”

นี่คือคำถามที่หนังเรื่องนี้ตั้งขึ้นให้กับคนดูที่เชื่อว่าตัวเองยึดมั่นในการอุดมการณ์การปกครองแบบประชาธิปไตย

รีวิวหนังฝรั่ง 22 JULY

ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ว่าเมื่อมนุษย์อย่างเราถึงคราวโกรธแค้นจากการถูกกระทำ เราเองจะจัดการกับผู้กระทำด้วยหลักมนุษยธรรมตามหลักประชาธิปไตย หรือยอมปล่อยให้ความแค้นครอบงำและลงโทษคนผิดด้วยวิธีที่สะใจแทน 22 July เป็นหนังที่อิงเรื่องจริงจากเหตุการณ์สังหารหมู่เยาวชนลูกหลานนักการเมืองและคนชนชั้นสูงที่เกาะอูโทย่าเมื่อ 22 กรกฎาคม 2011 โดยผู้ก่อการร้ายที่มีแนวคิดขวาจัด ไบรวิค ที่อ้างว่าการกระทำนี้เป็นไปเพื่อช่วยนอร์เวย์ปลดแอกจากการปกครองแบบเสรีนิยม (ซึ่งในหนังไบรวิคใช้คำว่า“มาร์กซิส”) และนอกจากนี้ไบรวิคยังได้กล่าวโทษรัฐบาลนอร์เวย์ที่เปิดให้มุสลิมเข้ามาในประเทศด้วย

แม้ฉากกราดยิงเด็กๆ จะเริ่มและจบลงตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง แต่ผลกระทบและการจัดการต่อหลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น คือสิ่งที่หนังต้องการเสนอ เริ่มจากประเด็นแรกคือสิทธิมนุษยชนในระบบประชาธิปไตยของนอร์เวย์ผ่านการให้สิทธิต่างๆกับไบรวิค ผู้ก่อการร้ายในเรื่อง ทำให้คนดูในประเทศโลกที่สามที่มีปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอย่างเราเองก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมผู้ก่อการร้ายถึงมีสิทธิมากมายขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นสิทธิที่สามารถขอเลือกทนายในการแก้ต่าง สิทธิในการพูดอธิบายในศาลด้วยตัวเอง(แม้จะเป็นการพูดเพื่อประกาศจุดยืนลัทธิของเขาเพื่อหาแนวร่วมก็ตาม) หรือที่ตอนดูแล้วสงสัยมากก็คือ

ทำไมวันขึ้นศาลผู้ก่อการร้ายถึงได้ใส่สูทผูกไทด์ และโกนหนวดหน้าตาเกลี้ยงเกลาอย่างดี อดเทียบไม่ได้กับสภาพผู้ก่อการร้ายเวลาไปขึ้นศาลในข่าวตามประเทศอื่นๆ จุดนี้หนังพยายามสะท้อนให้เห็นวิธีการรับมือกับผู้ก่อการร้ายด้วยความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงของนอร์เวย์ ที่ไม่ยอมปล่อยให้อารมณ์และความแค้นเข้ามาขโมยสิทธิมนุษยชนไปจากใครก็แล้วแต่ แม้เขาผู้นั้นจะเป็นผู้ก่อการร้ายก็ตาม

ประเด็นที่สองที่หนังต้องการให้คนดูรู้สึก ก็คือการก้าวผ่านความเจ็บปวดที่ผู้อื่นกระทำต่อเรา

รีวิวหนังฝรั่ง 22 JULY

ผ่านมุมมองความรู้สึกของเด็กที่ถูกยิงในเรื่อง วิลยาห์ ซึ่งต้องเจอทั้งความเจ็บปวดทางร่างกายที่โดนยิง และจิตใจเมื่อเขานึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น หลังจากถูกยิง วิลยาห์รู้สึกท้อแท้ว่าเขาน่าจะไม่สามารถกลับไปมีชีวิตที่ดีแบบเดิมได้เพราะต้องกลายเป็นคนพิการและความหวาดกลัวก็คอยกัดกินจิตใจของเขาเรื่อยมา แต่ในตอนจบ วิลยาห์กลับตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวด้วยการยอมให้ความในศาลต่อหน้าผู้ก่อการร้าย

และเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป เพราะเขารู้ว่าเขาเองยังมีคนรัก มีครอบครัวที่อบอุ่นที่คอยให้กำลังใจ ในขณะที่ไบรวิคไม่มีสักอย่างและต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ประโยคนี้แสดงให้เห็นถึงความหวังของมนุษย์ที่ควรมี การมองโลกในด้านดีเพื่อให้มีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อและสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับโลก ซึ่งต่อมาวิลยาห์ได้ตัดสินใจศึกษาต่อทางด้านนิติศาสตร์ ในขณะที่ไบรวิคต้องติดคุกโดนขังเดี่ยวอย่างเดียวดาย

เมื่อดูหนังจบแล้ว ก็ได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า หากเราเป็น1ในผู้โชคร้ายในเหตุการณ์ เราจะเลือกทางเดินในการโต้ตอบอย่างไร? ด่าทอทุบตีด้วยความโกรธแค้นหรือปล่อยให้ศาลเป็นผู้พิจารณาและจัดการตามกฎหมาย สุดท้ายคำตอบของเราจะเป็นตัวชี้วัดความเป็นประชาธิปไตยและปัญญาชนของเราซึ่งกำลังถูกทดสอบนั่นเอง นี่คือสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อให้เราฉุกคิดว่าแนวการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เราเชื่ออยู่นั้น

อาการหลบตาเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเข้าใจยาก ด้วยสิ่งที่ดูเป็นภัยใกล้ตัวย่อมจัดการความรู้สึกยากกว่า และเราเห็นอาการนี้ในโลกภาพยนตร์ได้โดยไม่ต้องย้อนประวัติไกล เพราะในขณะที่ผู้กำกับตะวันตกเผชิญหน้ากับพระวีระธูและแนวคิดสุดโต่งต่อต้านอิสลามกับโรฮิงญาใน The Venerable W. (Barbet Schroeder, 2017) หรือกลุ่มอันธพาลพลเมืองสมัยกวาดล้างคอมมิวนิสต์ในอินโดนีเซียที่ยังภาคภูมิและผุดผ่องด้วยเกียรติประวัติการฆ่าใน The Act of Killing (Joshua Oppenheimer, 2012) ได้อย่างพิสดารพันลึก แต่การพาการเมืองขั้วตรงข้ามไปนั่งถกเถียงกับ Steve Bannon ผู้ออกแบบชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ และมีบทบาทสำคัญต่อพื้นที่ของกลุ่มขวาจัดยุคใหม่ใน American Dharma (Errol Morris, 2018) ทำให้หนังต้องรับแรงกระแทกทางการเมืองจากฝ่ายเสรีนิยม และยังไม่สามารถหาผู้จัดจำหน่ายในอเมริกาได้

รีวิวหนังฝรั่ง 22 JULY มีคุณสมบัติเริ่มต้นอย่างคนนอกเต็มที่

รีวิวหนังฝรั่ง 22 JULY

เพราะไม่ใช่แค่ร่วมอำนวยการสร้างโดย Netflix หรือกำกับโดยคนอังกฤษที่สร้างชื่อในฮอลลีวูดอย่าง Paul Greengrass (ผู้กำกับ Bloody Sunday, United 93, The Bourne Ultimatum, Captain Phillips) แต่หนังยังพูดอังกฤษตลอดเรื่องทั้งที่นักแสดงบทหลักๆ ก็เป็นชาวนอร์เวย์หรือสแกนดิเนเวีย ตัวเลือกนี้ถือเป็นเรื่องพ้นสมัยสำหรับทศวรรษปัจจุบัน แต่ก็สะท้อนความกลัวลึกๆ ของผู้สร้างและภาพคนใน-คนนอกที่ซ้อนทับสลับเปลี่ยนไปมาได้น่าสนใจ (แม้เหตุผลหลักอาจเป็นเรื่องการตลาดของความคุ้นชิน) เพราะหากเราลองสวมบทคนที่ใช้ชีวิตในโลกภาษาอังกฤษ (หรือ ‘สากล’) เมื่อหนังพูดภาษานอร์วีเจียน พวกเขาจะกลายเป็นคนนอกที่เข้าไปรับรู้เรื่องราวของคนภาษาอื่นโดยปริยาย

โดยเฉพาะเมื่อหนังตั้งใจชี้ช่องหยอดรายละเอียดบางประการ เพื่อให้คนดูเชื่อมโยงเห็นว่าการก่อการร้ายที่นอร์เวย์ครั้งนี้ แตกแขนงเติบโตมาจากรากเดียวกับแบนนอน, ทรัมป์ หรือการชุมนุมของมวลชนขวาจัดที่ Charlottesville

เมื่อการขยายตัวของฝ่ายขวาในโลกตะวันตกกำลังถูกจับจ้องในฐานะปรากฏการณ์ทางการเมือง ภัยที่เผยตัวในนอร์เวย์เมื่อ 7 ปีก่อนจึงใกล้ชิดทางความรู้สึกกับหนังและฝ่ายที่กำลังเฝ้าดูสถานการณ์อย่างระแวดระวัง เพราะพวกเขารู้สึกร่วมในระดับใกล้เคียงกับชาวอเมริกันเสรีนิยมกลุ่มที่เบือนหน้าหนีหรือโจมตี American Dharma —ความใกล้ชิดนี้เองที่ทำให้หนังแสดงท่าทีแบบบทบันทึกและการวิเคราะห์เหตุการณ์ที่ไม่ยอมสบตากับความกลัวอย่างจริงจัง แต่ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะรู้สึกร่วมมากแค่ไหน พวกเขาก็ตระหนักดีถึงความเป็นคนนอก เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในนอร์เวย์หลังจากนั้นช่างแตกต่างจากสิ่งที่อาจเกิดขึ้น หรือเคยเกิดขึ้น หากโลกภาษาอังกฤษต้องเผชิญความกลัวลักษณะเดียวกันนี้โดยตรง

หลายเสียงเห็นตรงกันว่า 34 นาทีแรกซึ่งแสดงลายเซ็นทางภาพยนตร์ของ Paul Greengrass อย่างเต็มที่ คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของหนัง (น่าเสียดายที่หนังยาวถึง 143 นาที) ด้วยลำดับเหตุการณ์ที่เริ่มอย่างเยียบเย็นและพัฒนาสู่สถานการณ์บีบคั้นของการหนีตาย หนังเริ่มต้นคล้ายกับ United 93 (2006) ที่แสดงอิริยาบถช่วงเช้าของผู้ก่อการร้ายก่อนขึ้นเครื่องบิน เมื่อผู้ชมได้เห็น Anders Behring Breivik ผู้ก่อเหตุ (แสดงโดย Anders Danielsen Lie) ตั้งแต่ออกรถจากคลังแสงส่วนตัวกลับบ้าน หลบสายตาประหลาดใจของแม่เข้าห้องส่วนตัว อีเมลแถลงการณ์ให้ทุกคนในลิสต์ เล็ดรอดรัศมีกล้องวงจรปิดไปติดตั้งระเบิดใต้รถแวน และสวมเครื่องแบบตำรวจปลอมไปที่เกาะอูเตอญาเมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผน

ในขณะที่เสียงปืนกับคำประกาศเจตนารมณ์ชิงชังดังก้องไปทั้งเกาะ

หนังก็เปลี่ยนโฟกัสให้คนดูร่วมหนีตายและเผชิญชะตากรรมพลิกผันไปกับลูกชายนายกเทศมนตรีวัยสิบหก Viljar Hanssen (Jonas Strand Gravli) ก่อนจบความโกลาหลขององก์แรกและวันที่ 22 ด้วยภาพตัดสลับระหว่างปฏิบัติการกู้ชีพของทีมแพทย์ที่ดึงชีวิตเขากลับมาได้ทั้งที่มีกระสุนปืนฝังในศีรษะ และการสอบปากคำเบื้องต้นหลัง Breivik มอบตัวในที่เกิดเหตุ แล้วจึงเดินหน้าไปจนถึงวันอ่านคำพิพากษาคดีนี้ในปี 2012 ด้วยท่าทีสุขุมจริงจัง ยืนพื้นด้วยเรื่องเล่าของคู่ตรงข้ามที่เป็นใจความสำคัญของเรื่อง คือผู้ก่อการร้ายที่คนทำหนังพยายามทำความเข้าใจถึงปัจจัยที่ประกอบสร้างขึ้นเป็นความเกลียดชัง อันนำมาสู่การสังหารหมู่ครั้งประวัติศาสตร์ และผู้รอดชีวิตที่ต้องหัดใช้ชีวิตใหม่อย่างผู้พิการทางกายที่ตายได้ทุกเมื่อ และเอาชนะความกลัวในใจเพื่อบอกเล่าเรื่องจริงต่อหน้าบัลลังก์ศาล

อัปลักษณะที่หนังขีดเส้นเน้นย้ำให้ Breivik คือความถือดี อวดฉลาด และหลงตนว่ายิ่งใหญ่ระดับผู้นำความคิด และได้พิพากษาโทษรัฐบาลกับสังคมเสรีนิยมเอียงซ้ายของนอร์เวย์ด้วยการสังหารหมู่ (คล้ายสื่อตะวันตกหลายหัวที่กางแถลงการณ์เจาะจี้เป็นจุดๆ ให้เห็นความด้อยตรรกะ และคัดลอกข้อความใครต่อใครมาแบบไม่ให้เครดิตหรือผิดบริบท) นายกรัฐมนตรี Jens Stoltenberg (Ola G. Furuseth) ต้องรับมือเหตุวินาศกรรมครั้งรุนแรงที่สุดโดยไม่ทันตั้งตัว และเมื่อกฎหมายนอร์เวย์เปิดช่องให้ผู้ต้องหาระบุชื่อทนายความที่รัฐจัดหาได้ เจ้าตัวก็กวนประสาทด้วยการเรียก Geir Lippestad (Jon Øigarden) ทนายชื่อดังอันดับต้นๆ ผู้อยู่สุดขั้วตรงข้ามทางการเมือง ให้ต้องจำใจว่าความปกป้องฆาตกร

การเลือกเหยื่อเป็นเยาวชนสร้างแรงสั่นสะเทือนได้ตามคาด เมื่อผู้ก่อการร้ายมองขาดว่าคนรุ่นใหม่คือจุดตายของพวกลิเบอรัล เพราะนอกจากเป็นลูกหลาน ยังถูกใช้เป็นภาพแทนและตัวสืบทอดอุดมคติสังคมแบบที่เขารังเกียจ มือปืนเฉลยความคิดเบื้องหลังให้ทนายฟังอย่างภาคภูมิ แต่เมื่อพ้นประเด็นนี้ หมากที่ Breivik คิดว่าชาญฉลาดกลับค่อยๆ แข็งขืน ให้คำตอบคนละอย่างกับที่เจ้าตัวต้องการ และภาพมายาที่มีตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลค่อยๆ ถูกคนทำหนังกร่อนเซาะทำลายไปทีละขั้น

Lippestad ทำหน้าที่ตามวิชาชีพอย่างตรงไปตรงมา (จนอาจดูเกินจริงเป็นอุดมคติไปด้วยซ้ำ) แต่ในขณะที่พยายามหาเหลี่ยมมุมกฎหมายตามศักยภาพของรูปคดี ก็ไม่เคยลดราวาศอกเมื่อต้องปะทะกับท่าทีอวดโอ่หรือทัศนคติบิดเบี้ยวของลูกความจำเป็น แถมยังเป็นด่านแรกที่ได้รับรู้และคอยกระทุ้งให้เห็นว่า ในโรงละครที่จำเลยจินตนาการว่าตัวเองมีอำนาจกำกับควบคุมเบ็ดเสร็จ แท้จริงแล้วมีแค่เขาอยู่ลำพัง – เมื่อทนายยังถูกคนแค้นคอยคุกคาม จึงเข้าใจได้ว่าทำไมแม่ Breivik ถึงไม่ยอมขึ้นให้การช่วยลูกชาย แต่กระทั่งนักกิจกรรม (หากจะใช้คำนี้ได้) และเซเล็บฝ่ายขวาเกือบทั้งหมดที่ Lippestad ติดต่อไปต่างปฏิเสธจะเกี่ยวข้อง คนเดียวที่ยอมปรากฏตัวในการพิจารณาคดีที่ถ่ายทอดสดก็แสดงจุดยืนหักหน้าว่า การสังหารหมู่ไม่ได้ช่วยและไม่เคยใช่หนทางสู่เป้าหมายสูงสุดของอุดมการณ์

สิ่งที่ 22 July ตั้งใจเพ่งมองหาก็คือรอยแตกแห่งเรื่องเล่าและเปลือกของความเกลียดชัง รีวิวหนังฝรั่ง 22 JULY

เพื่อเชื่อมโยงเหตุผลต่างๆ จากเหตุการณ์จริงไปสู่คำอธิบายที่พอจะปลอบประโลมฝ่ายเสรีนิยมที่กำลังหวั่นระแวงในอุณหภูมิการเมืองโลกปัจจุบัน – หลังปากคำของพยานฝ่ายขวา ผู้ชมจึงได้เห็น Breivik ที่หยามหยันยกตนมาตลอดต้องออกอาการหัวเสียเป็นครั้งแรก ด้วยสถานะผู้นำความคิดที่เขาแต่งตั้งตนเองได้ถูกทำลายลง กลางโรงละครที่วาดหวังไว้ให้ช่วยประกาศศักดาทางอ้อม ตอกย้ำด้วยคำให้การของ Viljar Hanssen ซึ่งพูดต่อหน้าชายที่ฝังกระสุนไว้ในหัวเขาว่าคงเป็นความแปลกแยกในสังคมใหม่นี้เองที่ทำให้ Breivik รู้สึกสูญเสียและโดดเดี่ยวกระทั่งพัฒนาเป็นความชิงชังรังเกียจ คล้ายคำอธิบายการแสดงท่าทีเหยียดหยามกีดกันความแตกต่างอย่างรุนแรง ว่าเป็นเพราะฝ่ายขวารู้สึกสูญเสียอำนาจและความได้เปรียบทางสังคมที่เคยมี และกล่าวโทษว่าต้นเหตุคือระบบที่เปิดกว้างและรับรองสิทธิคนกลุ่มอื่นมากขึ้น

กล้องจับสีหน้าของตัวละคร Breivik ที่ดูคล้ายยอมรับคำกล่าวของเด็กหนุ่มอย่างเงียบเชียบ หลังศาลอ่านคำพิพากษา ยังพยายามประกาศศักดาก่อนเข้าห้องขังว่าทุกอย่างทั้งหมดนี้คือชัยชนะ และถูก Lippestad ตอกกลับว่า ‘เรา’ ต่างหากที่ ‘เอาชนะ’ คนอย่างแกได้ในที่สุด

นอกจาก Breivik ตัวจริงที่กำลังรับโทษสูงสุดในเรือนจำ คงไม่มีใครตอบได้ว่าความเชื่อสุดโต่งของเขาถูกสั่นคลอนท้าทายบ้างหรือไม่ แต่คนทำหนังก็เลือกใช้ภาษาภาพยนตร์เพื่อสื่อนัยดังกล่าว กระตุ้นภาพความหวังว่าต่อให้หลักการหรืออุดมคติจะเป็นอุปสรรคขัดแย้งกับความรู้สึกชั่วแล่นต่อสถานการณ์เลวร้ายตรงหน้า ท้ายที่สุด ‘เรา’ จะยัง ‘ชนะ’ อย่างภาคภูมิ – วัยรุ่นหญิงอพยพผิวสีผู้รอดขีวิต Lara Rachid (Seda Witt) พูดปลุกใจ Hanssen เมื่อเห็นเขาแสดงท่าทีหวาดหวั่นไม่มั่นใจก่อนขึ้นศาลว่า คนเราสามารถอ่อนแอเปราะบางและเข้มแข็งไปได้พร้อมกัน สภาพร่างกายอย่างผู้พิการของเด็กหนุ่ม ความพยายามเอาชนะความกลัวที่ถาโถม และประโยคสำคัญที่ปลดล็อคความรู้สึก สามารถอธิบายโลกเสรีนิยมที่กำลังสั่นไหวได้เหมาะเจาะพอดี

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *