รีวิวหนังฝรั่ง 1917

รีวิวหนังฝรั่ง 1917 แซม เมนเดส ผู้กำกับอังกฤษเจ้าของรางวัลออสการ์ที่เคยมีผลงานอย่าง American Beauty และแฟรนไชส์ 007 อย่าง Spectre กับ Skyfall ครั้งนี้กลับมาด้วยงานที่คงเป็นภาพฝังใจเขาแต่เด็ก โดยนำเรื่องจริงจากคำบอกเล่าของปู่ตนเองที่ชื่อ อัลเฟร็ด เอช. เมนเดส ในวันที่ 6 เมษายน ปี 1917 ครั้งที่เป็นทหารราบในสงครามโลกครั้งที่ 1 บริเวณแนวรบในประเทศฝรั่งเศสระหว่างกองร้อยของอังกฤษกับเยอรมันที่ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด เว็บดูหนัง

ทั้งนี้เมนเดสได้เขียนบทด้วยตนเองเป็นครั้งแรกร่วมกับ คริสตี้ วิลสัน-แคร์น (จากซีรีส์ Penny Dreadful) นำเสนอมุมมองที่แตกต่างของหนังสงครามย้อนยุค ซึ่งก็แปลกตาดีกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เครื่องแต่งกายและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ยังไม่หลากหลายทันสมัยอย่างในสงครามโลกครั้งที่ 2 เว็บดูหนังฟรี

ที่วงการหนังมักชอบยกมานำเสนอมากกว่า ไม่ว่าจะ Saving Private Ryan ของสปีลเบิร์ก หรือ Dunkirk ของโนแลน ก็เป็นหนังสงครามคุณภาพที่ชิงพื้นที่ออสการ์มาแล้วทั้งสิ้น

บอกตรงๆ นะ ถ้าผู้กำกับไม่เก่งจริง ไม่เจ๋งพอ ไม่มีทางที่จะทำหนังสงครามแบบนี้แล้วมัดใจคนดูได้อยู่หมัด ทำให้คนดูได้ตื่นเต้น ได้อะดรีนาลีนหลั่งตลอดเวลาที่ชม และที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น แซม เมนเดส ยกระดับให้ 1917 คือหนังสงครามชั้นดี ที่ไม่ได้มีดีแค่ภาพ เทคนิคการนำเสนอเท่านั้น แต่สารหรือ message ที่จะบอกกับผู้ชมก็มีครบถ้วน

โดยเฉพาะประเด็นของการปกป้อง การฝ่าฟัน การเห็นคุณค่าของชีวิตทั้งตัวเอง หรือ ข้าศึกในสมรภูมิ สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆ ในหนังคือซีนเปิดเรื่องที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ นายทหารสองคนนอนหลับ พักผ่อน ใต้ต้นไม้ และจุดสุดท้ายก็มาจบที่การนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ..มันสื่อได้ถึงการมีชีวิตอยู่ แม้สงครามจะโหดร้ายขนาดไหน แต่ความสุขของการมีชีวิต การได้ใช้ชีวิตต่อไป มันมีคุณค่า มีความหมายที่ยิ่งใหญ่มากกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่าจริงๆรีวิวหนังฝรั่ง 1917

1917 คือภาพยนตร์ที่มากกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบ ไม่แปลกใจที่หนังจะมาแรงแซงปลายในการคว้ารางวัลใหญ่ๆ สำคัญๆ จากหลากหลายสถาบัน นี่คือหนังที่ใช้ศาสตร์และองค์ประกอบของภาพยนตร์ได้อย่างครบถ้วน (เชื่อว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญของนักเรียนหนังในอนาคต) …เป็นหนังสงครามที่พูดถึงการดิ้นรนที่จะมีชีวิตต่อไปได้อย่างสวยงาม นี่คืออีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ทรงคุณค่ามากๆ และควรค่ากับการตีตั๋วไปชมในโรงภาพยนตร์จริงๆ หนังฟรี 

ไม่ต้องใช้การสังเกตมากนักก็จะพบว่าภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้นมีไม่มาก ในขณะที่หนังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลับมีมากมาย เหตุผลอย่างง่ายที่สุดคือสหรัฐอเมริกามีบทบาทหลักในสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้นฮอลลีวูดจึงบอกเล่าเรื่องราวของสงครามนี้ได้อย่างไม่รู้จบ ไหนจะดราม่าเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวที่ทำเป็นหนังทีไรก็ขายได้ ดูได้จาก Steven Spielberg ที่หากินกับสงครามโลกครั้งที่ 2 มาหลายที ทั้ง Schindler’s List (1993) และ Saving Private Ryan (1998)

ส่วนหนังสงครามโลกครั้งที่ 1 ถ้าให้นึกเร็วๆ คงนึกออกแค่ไม่กี่เรื่อง เช่น Paths of Glory (1957), A Very Long Engagement (2004), War Horse (2011 ซึ่งก็กำกับโดยสปีลเบิร์ก)

หรือที่ฮือฮาในช่วงปีสองปีนี้ก็มี They Shall Not Grow Old (2018) สารคดีที่ Peter Jackson เอาฟุตเทจขาว-ดำจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 มาทำให้เป็นหนังสี ส่วนหนังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่โด่งดังเรื่องล่าสุดคงหนีไม่พ้น 1917 ของผู้กำกับ Sam Mendes ที่เป็นหนึ่งในตัวเต็งออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

หนังเล่าเรื่องราวของทหาร 2 นายที่ได้รับมอบหมายภารกิจเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะง่าย แต่กลับเป็นช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายของตัวเองและพี่น้องทหารร่วมชาติอีกกว่า 1,600 นาย พวกเขาต้องทำหน้าที่ฝ่าสมรภูมิรบไปส่งข่าวด่วนให้กับทหารแนวหน้า จึงกลายเป็นปฏิบัติการอันเด็ดเดี่ยวของทหารทั้งคู่ ประหนึ่งพวกเขากำลังแบกความหวังของกำลังพลทั้งกองทัพเอาไว้

ต้องขอยืนปรบมือให้กับ “แซม เมนเดส” ผู้กำกับอันปราดเปรื่อง กับการนำวิสัยทัศน์และมุมมองที่น่าตื่นตาตื่นใจมาถ่ายทอดในโลกภาพยนตร์ เทคนิคการสร้างและการภาพถ่ายของเขาเป็นที่สุด การใช้วิธีถ่ายภาพในลักษณะ Long Cut หรือ One Shot ตลอดทั้งเรื่อง ได้ช่วยเพิ่มอรรถรสและยังสร้างประสบการณ์อันแปลกใหม่ให้กับคนดูหนังด้วย หนังใหม่ 

รีวิวหนังฝรั่ง 1917

รีวิวหนังฝรั่ง 1917

การที่ใช้สงครามโลกครั้งที่ 1 อาจมองเป็นจุดด้อยในแง่การนำเสนอด้านภาพยิ่งใหญ่ที่น้อยหน้าสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็มีจุดแข็งตรงความอ่อนประสบการณ์ ทั้งในแง่คนดูที่ไม่คุ้นชินกับการสู้รบในยุค 1900 ต้น ๆ อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่ได้ประสิทธิภาพสูง พอยืนระยะห่างกันสักหน่อยปืนทหารราบก็เรียกได้ว่ายิงพลาดได้แบบวัดดวงกัน ทำให้หนังมันดูน่าลุ้นไปอีกแบบ เมื่อรวมกับความอ่อนสถานการณ์ของผู้ชมต่อเนื้อหาประวัติศาสตร์ว่าเกิดอะไรขึ้นและจะเกิดอะไรต่อไป มันจึงสร้างประสบการณ์แบบอินไปกับตัวหนังได้อย่างกลมเกลียวเพราะเราก็ไม่รู้อะไรมากพอ ๆ กับตัวละครว่าการเดินทางในสมรภูมินิรนามนี้จะจบลงอย่างไร

อีกทั้งยังอยากจะมอบรางวัลให้กับ “โรเจอร์ ดีกินส์” ผู้กำกับภาพ และเหล่าทีมช่างภาพ หรือ cameraman ที่ต้องบันทึกภาพชนิดที่ติดตามทุกฝีก้าวไปพร้อมกับนักแสดง ทำให้ได้ภาพเสมือนว่าคนดูได้เดินตามพลทหารไปในทุกๆ ฉากตลอดทั้งเรื่อง นับเป็นเทคนิคการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่และชาญฉลาดเป็นอย่างมาก

แซม เมนเดส มีส่วนร่วมในการเขียนบทภาพยนตร์ของหนังเรื่องนี้ โดยหยิบยกเอาคำบอกเล่าจากคุณปู่ของเขาเอง ที่เคยเล่าให้ลูกหลานได้ฟังถึงประสบการณ์และวีรกรรมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมา แต่ก็ยังสะท้อนถึงผลกระทบต่างๆ และความเลวร้ายที่เกิดขึ้นจากภัยสงคราม

การเล่าเรื่องของหนังก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเรื่องนี้ จากแค่โครงเรื่องเพียงหยิบมือ แต่นำมาขยายแผ่ออกไปได้อย่างน่าสนใจ แม้จะเป็นการเล่าในมุมมองที่มีการโฟกัสอยู่เพียงแต่ตัวละครจุดเดียวก็ตาม สร้างบรรยากาศลุ้นระทึกและระแวดระวังตามคาแร็กเตอร์ในหนังไปด้วย ไม่ต่างกับพาคนดูเข้าไปเดินหลบข้าศึกอยู่ด้วย ดูหนังฟรี 

ส่วนด้านการแสดงที่เลือกใช้นักแสดงที่ยังไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นตัวละครหลัก แต่ก็ถือว่าทั้ง “จอร์จ แม็กเคย์” และ “ดีน-ชาร์ลส แชปแมน” ต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี พวกเขาสามารถแบกหนังที่หนักอึ้งเอาไว้ได้ทั้งเรื่อง แทบจะไร้ที่ติ แม้จะไม่ใช่ดาราที่โด่งดัง แต่ก็มีประสบการณ์ทางการแสดงที่สั่งสมเอาไว้พอสมควร

เอาเข้าจริงแล้วเรื่องราวของ 1917 เล่าจบได้ในไม่กี่ประโยค ‘นายทหาร 2 คนเดินทางไปส่งข่าวให้ยกเลิกการโจมตี ถ้าไปไม่ทันทหารจะตาย 1,600 นาย จบ แค่นี้เลย แต่จุดขายและจุดแข็งของ 1917 คือการถ่ายแบบ one shot หรือการถ่ายแบบยาวๆ ไม่ตัดต่อ ถึงขั้นว่าก่อนที่จะปล่อยตัวอย่างหนัง ทีมพีอาร์ของ 1917 กลับเลือกปล่อยคลิปเบื้องหลังออกมาให้ดูก่อนว่าหนังเรื่องนี้ถ่ายทำกันอลังการขนาดไหน

ความอ่อนประสบการณ์ของตัวละครเองก็สร้างพื้นที่สำคัญในทางปรัชญาที่สอดแทรกอยู่ในเนื้อหนังอันต่างจากหนังสงครามทั่วไป เพราะโลกยังขาดประสบการณ์แบบที่เรียกว่าสงครามโลก การไตร่ตรองความหมายของการต่อสู้และชีวิตจึงแตกต่างจากหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มุ่งหมายเอาเรื่องการเสียสละและความกล้าหาญเป็นตัวนำ สำหรับ 1917 กลับทำให้เรามองเห็นตัวละครในฐานะคนธรรมดาที่ต้องเข้าร่วมสงครามได้มากกว่า

เพราะความกล้าหาญหรือวีรกรรมเล่าขานกลายเป็นเรื่องไร้ค่าสำหรับ สคอฟิลด์ ผู้ทิ้งเหรียญกล้าหาญของตัวเองแลกกับอาหารเครื่องดื่มดี ๆ สักชิ้นอย่างไม่ไยดี เขาไร้จุดหมายที่จะกลับบ้านและมองสงครามเป็นเรื่องที่ยากน้อยกว่าการสร้างครอบครัว สงครามไม่ได้มีค่าอะไรกับเขาเท่าการมีชีวิตต่อไปอย่างพอมีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ การได้ทานขนมปังแฮมชิ้นเล็ก ๆ ที่หาได้ยากเย็นกลับดูยิ่งใหญ่กว่าสำหรับเขา และเมื่อเขาถูกทดสอบทางเลือกระหว่างทำภารกิจที่ถูกโอบล้อมในดงศัตรูที่อาจทำให้ตายได้ กับช่วยเหลือหญิงสาวฝรั่งเศสที่บังเอิญพบเจอแล้วสร้างครอบครัวให้เด็กทารกกำพร้าแม่ เขาก็เลือกไปเสี่ยงตายมากกว่าได้อย่างไม่ลังเล

หนังประเภทวันช็อตนั้นมี 2 แบบด้วยกัน หนึ่ง ถ่ายวันช็อตจริงๆ กล่าวคือ ทั้งเรื่องถ่ายแบบเทคเดียวไม่มีหยุด ตัวอย่างหนังดังก็เช่น Russian Ark (2002) ที่ตัวละครเดินทอดน่องไปเรื่อยในพระราชวังฤดูหนาว เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก หรือ Utøya: July 22 (2018) หนังความยาว 90 นาที เล่าถึงเหตุการณ์สังหารหมู่บนเกาะอูโทยาแบบเรียลไทม์

แน่นอนว่าจุดสำคัญของการทำหนังแบบนี้คือ ‘ความเป๊ะ’ เพราะถ้าเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่างขึ้นมา แปลว่าพัง ต้องถ่ายใหม่หมด วันช็อตประเภทที่สองคือหนังที่ถ่ายทำและตัดต่อให้ดูเหมือนเป็นหนังถ่ายเทคเดียว (จะเรียกว่า ‘วันช็อตเทียม’ ก็ได้) หนังที่ทุกคนคุ้นกันดีคือ Birdman (2014) หรือลองดูคลิปนี้เขาจะเฉลยการทำวันช็อตเทียมในหนังหลายเรื่อง ดูหนังออนไลน์ 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *