รีวิวหนังฝรั่ง Don’t Look Up

รีวิวหนังฝรั่ง Don’t Look Up เป็นการสะท้อนความเป็นจริงใจปัจจุบัน ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะบอกว่า “สร้างจากความจริงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต” แต่ผมเชื่อว่าเขาสร้างจากความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นเรื่องราวของ นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนกับลูกศิษย์ ซึ่งแน่นอนไม่ใช่มหาวิทยาลัย ไอวีลีก (มหาวิทยาลัยระดับท็อปของโลก) Dr. Randall Mindy ลูกศิษย์ ที่ค้นพบดาวหางลูกใหม่ขนาดมหึมา ที่สำคัญคือมันกำลังจะพุ่งชนโลกและทำให้มนุษย์สูญพันธุ์อีกภายใน 6 เดือนข้างหน้านี้  รีวิวหนังฝรั่ง

สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงที่ (ยัง) ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เรื่องราวของนักดาราศาสตร์ระดับล่าง 2 คนที่ต้องออกเดินสายประชาสัมพันธ์ครั้งสำคัญเพื่อเตือนให้มวลมนุษยชาติรู้ว่าดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งกำลังจะพุ่งเข้ามาชนโลกจนย่อยยับ

หลังจากเปรี้ยงปร้างกับหนังเสียดสีวงการการเงินจากเรื่องจริงอย่าง ‘The Big Short’ (2015) ที่เข้าไปสร้างความหวือหวาในเวทีออสการ์ปี 2016 ผู้กำกับ อดัม แมกเคย์ (Adam McKay) ก็ดูน่าสนใจมากขึ้นในฐานะผผู้สร้างชื่อจากหนังตลกเบาสมองอย่าง ‘Anchorman’ (2004) ดูหนัง 

มาสู่หนังตลกร้ายหนักสมองที่เอาเรื่องเครียดมาทำให้บันเทิงได้ดี และแน่นอนว่าฝีมือการเขียนบทอันแสบสันของแมกเคย์คือกุญแจความสำเร็จนั้น และอาวุธหนักที่เขาเลือกใช้ในกลยุทธ์นี้ก็คือบารมีระดับดึงดาราแม่เหล็กหลายคนมาร่วมงานกับเขาได้แม้บทจะดูบ้าบออย่างไรก็ตาม และถ้าเหตุผลเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณจะชอบหนังสักเรื่อง คุณจะรักหนังเรื่องนี้อย่างบ้าคลั่งเลยทีเดียว ดูหนังออนไลน์ 

‘Don’t Look Up’ เป็นหนังที่แมกเคย์จัดเจนในสิ่งที่ตัวเขามีและยกระดับการวิจารณ์สังคมไปอีกขั้น ด้วยเรื่องจริงที่เขาคิดว่าเป็นไปได้จะเกิดขึ้นถ้ามีดาวเคราะห์น้อยพุ่งมาชนโลกในวันหนึ่ง เหมือนเขาสร้างกล่องทดลองระบบปิดที่ใส่สังคมมนุษย์ลงไป ใส่ระบบนิเวศการเมืองและการบริหารแบบอเมริกัน เหยาะสารเร่งปฏิกิริยาให้ดูรุนแรงขึ้นนิดเพื่อเห็นผลชัดขึ้นไวขึ้นหน่อย แล้วมาดูว่าจะเป็นอย่างไร ดูหนังฟรี 

 

หนังเล่าผ่านสายตาของ 2 นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นรองที่บังเอิญพบว่ามีดาวหางขนาดเท่าภูเขาเอเวอเรสต์กำลังมุ่งตรงมาโลกในอีกหกเดือน และพบว่าแทนที่การค้นพบของพวกเขาจะได้รับการตระหนักถึงในแบบที่จริงจังในหนังฮอลลีวูดทั้งหลาย เว็บดูหนัง 

รีวิวหนังฝรั่ง Don't Look Up

ปรากฏว่าพวกเขาต้องเจอทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่โดยตรงแต่หาประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ กับความไม่รู้ของประชาชน, ประธานาธิบดีหญิงที่เจอปัญหาข่าวฉาวเล่นงานและมองเห็นแต่ผลการเลือกตั้งรอบหน้า, สื่อมวลชนที่อยากเล่าแต่ข่าวที่คนสนใจอย่างดาราเลิกกันและไม่อยากพูดถึงเรื่องร้ายต่าง ๆ และทุนนิยมบ้าบอคอแตกที่ทำให้เรื่องราวมันเตลิดเปิดโปงไปใหญ่โต ขนาดที่หลายความพลิกผันในเรื่องอาจทำเราร้อง หา! หัวเราะทั้งน้ำตาออกมาเลยทีเดียว เว็บดูหนังฟรี

 

ถ้าปีก่อน ๆ ญี่ปุ่นมีหนังอย่าง ‘Shin Godzilla’ (2016) ที่ อันโนะ ฮิเดอากิ (Anno Hideaki) เอาเรื่องสัตว์ประหลาดมาวิพากษ์การบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์วิกฤตของญี่ปุ่น รอบนี้แมกเคย์ก็ทำในแบบเดียวกันแต่ด้วยแว่นแบบอเมริกันที่มีต่อวิกฤตระดับโลกอย่างอุกกาบาตล้างโลกแทน

ใครเข้าใจจุดนี้จะดูหนังได้สนุกมาก ๆ และด้วยรสปรุงของแมกเคย์ที่มีความสากลกว่า ประกอบกับความเป็นอเมริกันมันน่าหมั่นไส้ในระดับโลกกว่า เป็นวัฒนธรรมที่คนทั้งโลกคุ้นเคยกว่า หนังมันเลยเข้าถึงคนได้ง่ายกว่าหนังของอันโนะด้วย

ในส่วนของอาวุธหนักรอบนี้ของแมกเคย์ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปจาก ‘The Big Short’ ที่มี แบรด พริตต์ (Brad Pitt) หรือ คริสเตียน เบล (Christian Bale) เลย เพราะรอบนี้ได้ทั้งตัวพ่ออย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ (Leonardo DiCaprio) และตัวแม่อย่าง เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence) มารับบทนำ

ซึ่งเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเอาดาราฝีมือมารับบท 2 นักดาราศาสตร์ตัวแทนสายตาผู้ชม เพราะตัวละครนี้ต้องดูธรรมดาและอาจถึงขี้แพ้ อารมณ์อ่อนไหวในหลายช่วง ในขณะเดียวกันต้องมีเสน่ห์พอให้เราชอบพวกเขาแม้จะทำผิดพลาดมากอย่างไรก็ตาม

ไม่พอเท่านั้นหนังยังสมทบด้วยดาราคับคั่งที่พร้อมมาเล่นไม่ว่าตัวละครพวกเขาจะบ้าบอขนาดไหนก็ตาม ทั้ง เมอรีล สตรีป (Meryl Streep) ในบทประธานาธิบดีสุดน่าหมั่นไส้ เคต แบลนเชตต์ (Cate Blanchett) กับบทพิธีกรสาวข่าวฉาว ทิโมธี ชาลาเมต (Timothée Chalame)

รีวิวหนังฝรั่ง Don’t Look Up

ในบทเด็กหนุ่มเสเพลที่ผ่านมา รอน เพิร์ลแมน (Ron Perlman) ในบทวีรบุรุษทหารคลั่งอนุรักษ์นิยม มาร์ก ไรแลนซ์ (Mark Rylance) ในบทเจ้าพ่อธุรกิจมือถือที่รวยอันดับ 3 ของโลก โจนาห์ ฮิลล์ (Jonah Hill) ในบทลูกชายไม่เอาไหนของประธานาธิบดีที่ได้ตำแหน่งสำคัญเพราะแม่ และไฮไลต์อีกคนคือนักร้องสาวคนดัง อารีอานา กรานเด (Ariana Grande) ที่มารับบทนักร้องดังและโชว์พลังเสียงสะกดผู้ชมแบบน่าจดจำด้วย

คือว่ากันตามตรงเอาดารามารวมกันขนาดนี้ใช่มีเงินอย่างเดียวจะทำได้ บารมีผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างต้องถึง และมีบทมีโครงการหนังที่น่าสนใจไม่น้อย และ ‘Don’t Look Up’ ก็มีศักยภาพนั้น

ที่น่าชื่นชมที่สุดในฐานะหนังเสียดสีตลกร้ายเรื่องหนึ่งคือ มันไม่ได้จบที่ความบันเทิงของคนชอบรสขมเท่านั้น แต่มันนำไปสู่ห้วงความคิดของเราว่า แท้จริงแล้ว อะไรบ้างที่มันสำคัญจริง ๆ ในชีวิตของเรา เงินทอง? ฟากฝั่งการเมือง? ศาสนา? ชีวิต? หรืออะไร? มันอาจไม่ได้ลึกซึ้งแต่มันก็เป็นประโยคคำถามที่ดีในฐานะหนังส่งท้ายปีที่เราเจอวิกฤตมาหนักหนา และต้องตั้งเป้าหมายในปีหน้าที่คงฉกาจฉกรรจ์อีกไม่น้อยเช่นนี้

หนังมีฉากหลังเอนด์เครดิต 2 ฉาก อย่าลืมข้ามไปชมก่อนปิดนะ ตลกร้ายอย่างโฉด

หนังเรื่องนี้ดูจะถูกใจคอหนังชาวไทยจำนวนมากเหตุผลเพราะว่ามันเป็นตัวจิกกัด รัฐบาลทางอ้อมที่เป็นวลีอย่าง “ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด” ซึ่งมันแล้วแต่ผู้ดูจะตีความ

มองย้อนกลับไปในบริบทของผู้สร้าง
McKay ผู้กำกับและมือเขียนบทรางวัล Oscar จากภาพยนตร์ The big short (2015) มาเป็นมือเขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้

 

สิ่งที่ผมคิดก็คือมันเต็มไปด้วยเรื่องราวของอเมริกันชนโดยแท้ ตัวละครต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น Peter Isherwell (Mark Rylance) ผมนั่งนึกอยู่นานว่ารู้สึกคุ้น ๆ และมาอ่อเกือบท้ายเรื่องว่า คาแรคเตอร์ การพูดการจาแบบนี้ มันสื่อถึงประธานาธิบดีสหรัฐ Joe Biden แทบจะถอดแบบมาวาง แต่ไม่ใช่ตัวเขาโต้ง ๆ เป็นการผสมผสานระหว่างเขาและ Elon Musk นักธุรกิจนักการตลาดที่ฝันจะไปใช้บั้นปลายชีวิตที่ดาวอังคาร

ถัดมาประธานาธิบดี President Orlean (Meryl Streep) ถูกถอดแบบมาจากมุมร้าย ๆ ของอดีตประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ จากแคมเปญการหารเสียง “Don’t Look Up” หรือตีเป็นนัยน์ว่าอย่าเชื่อนักวิทยาศาสตร์ ในช่วงที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีว่าภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องโกหกนั่นเอง.

รีวิวหนังฝรั่ง Don't Look Up

รวมทั้งเรื่องของวัคซีน Covid-19 เองที่เหล่าอนุรักษณ์นิยม ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มีแคมเปญ “Just say no” เป็นแคมเปญการปฏิเสธการรับวัคซีนซึ่งกล่าวหาว่าพวกเสรีนิยมเป็นพวกนาซีที่จะฆ่าคนทั้งประเทศผ่านวัคซีน ดังนั้นต้องปฏิเสธวัคซีนนั่นเอง

 

Dr. Randall Mindy (Leonardo DiCaprio) เป็นตัวแทนของเหล่านักวิทยาศาสตร์ ที่พยายามสื่อสารเรื่องภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ที่พูดปากเปียกปากแฉะเหลือเกิน

Kate Dibiasky(Jennifer Lawrence) ตัวละครที่รับบทโดย เจนลอว์ ค่อนข้างน่าสนใจผมมีความรู้สึกว่า McKay ตั้งใจถอดแบบมาจาก เกรย์ต้า เทนเบิร์ก นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ครั้งหนึ่งเป็น person of the year ของนิตยสาร Time เพราะด้วยวิธีการสื่อสารค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่กลับถูกฝั่งคนรักรัฐบาลทรัมป์ หรือแม้แต่ทรัมป์เองก็โยนความอารมณ์ไม่คงที่ให้เขาจนนำมาทำเป็นเรื่องตลก

ผมไม่แน่ใจนะครับว่าแต่ละคนที่ดูแล้วตีความเป็นไปในทิศทางอย่างไรบ้าง แต่ผมดูแล้วอดนึกถึงเรื่อง Climate Change ไม่ได้จริง ๆ มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันกับเราแล้วว่า เราต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ ครึ่งหนึ่งจากที่เป็นอยู่ ภายในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปีเท่านั้น (ค.ศ. 2030) และเป้าหมายของเราคือต้องไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเลยภายในอีกไม่เกิน 30 ปี (ค.ศ. 2050) สิ่งนี้เรียกว่า Net-Zero ที่พวกเราอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้าง

แต่สิ่งที่รัฐบาลนานาประเทศ (หลาย ๆ ประเทศไม่ใช่ทั้งหมด) จัดประชุมสุดหรูอย่าง COP26 เพื่อมาโชว์ว่าประเทศของตัวเองทำอะไรบ้าง โดยใจความสำคัญของแต่ละประเทศ (บางประเทศ) ก็คือ “บรา บรา บรา” คือไม่มีอะไรมีแต่คำพูดที่ดูดี แต่ความจริงยังปล่อยให้ละเมิดป่าสงวน

คอร์รัปชั่นสร้างโครงการบ้านสำหรับคนที่มีสิทธิพิเศษ แล้วไปประกาศต่อประชาชนชาวโลกว่า เราไม่มีแผนสำรองสำหรับการดูแลโลก ทั้งที่แอคชั่นจริง ๆ มันสวนทาง เพียงแต่เกาะกระแสเทรนด์โลกเท่านั้น รวมทั้งภาคเอกชนที่เกราะกระแสกรีน แต่ผลิตภัณฑ์และกระบวนการมันไม่ได้กรีนจริง ๆ เพียงแค่หาผลประโยชน์ทางการตลาดจากมันเท่านั้น นี้เป็นภาพสะท้อนของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างไม่ขำไม่ออก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *