รีวิวหนังฝรั่ง The Intern
รีวิวหนังฝรั่ง The Intern เป็นหนังที่ฮามาก สนุกจริงๆ ฮาทั้งตัวบทและการแสดงของนักแสดง นักแสดงนำเล่นดีมาก (โดยเฉพาะสองดาราออสการ์) แต่ตอนแรกมันก็ฮาอยู่ดีๆ นะ ไปๆ มาๆ ทำเอาน้ำตาไหลเฉยเลย อินมากกกก ทั้งเรื่องงาน อนาคต และชีวิตคู่ ฟีลกู้ดนะ แต่ก็มีข้อคิดให้ฉุกคิดตลอดจนถึงนาทีสุดท้ายของเรื่อง ออกโรงมาจนขึ้นรถไฟฟ้าแล้วก็ยังคิดไปน้ำตาซึมไป รีวิวหนังฝรั่ง
ชายวัย 70 ปี ผู้รู้สึกเบื่อหน่ายเดียวดายกับชีวิตวัยเกษียณ Ben Whittaker (Robert De Niro จาก The Godfather, Silver Linings Playbook ฯลฯ) ตัดสินใจสมัครงานในโครงการ Senior Citizen Intern ของ About the Fit บริษัทสตาร์ทอัพเกี่ยวกับธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่นออนไลน์ที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งยุค ดูหนัง
About the Fit ก่อตั้งโดยสาวสวยวัย 30 ต้นๆ Jules Ostin (Anne Hathaway จาก The Devil Wears Prada, Les Misérables, The Princess Diaries ฯลฯ) ออฟฟิศของเธอบรรยากาศชิลๆ พนักงานกว่าสองร้อยชีวิตมีแต่เด็กรุ่นใหม่ไฟแรง แต่งตัว casual แต่งานแต่ละคนต่างก็เยอะไฟลนก้นกันแทบหัวหมุน โดยเฉพาะตัว Jules เอง เพราะบริษัทเติบโตเร็วเกินไปในอายุขวบแค่ 18 เดือน จนเธอถูกบีบให้จ้าง CEO มาช่วยแบ่งเบาภาระของเธอ ดูหนังออนไลน์
เนื่องจากงานเยอะมาก บ้านของ Jules จึงมีคุณผู้ชาย Matt (Anders Holm) เป็นพ่อบ้านพ่อเรือนและดูแล Paige (JoJo Kushner) ลูกสาวตัวน้อยแทนเธอทุกอย่างที่บ้าน ซึ่ง Ben ผู้แก่ประสบการณ์คนนี้นี่เอง ที่จะเข้ามาช่วย Jules ในการบาลานซ์ชีวิต ทั้งงานที่รัก ครอบครัวที่รัก และความสุขของเธอ ดูหนังฟรี
เส้นเรื่องหลักของเรื่องนี้น่าจะอยู่ที่ ”จูลส์” มากกว่า “เบ็น” แต่สายตาที่มอง คือ สายตาของ “เบ็น” ค่ะ ดังนั้น อย่างที่บอกไปแล้วว่าเบ็นเป็นคนน่ารักแค่ไหน หนังเรื่องนี้จึงทำให้คนดูสามารถดูได้สบายใจทั้งที่เหตุการณ์ที่เกิดกับเส้นเรื่องหลัก นั่นคือ ชีวิตของจูลส์ ชีวิตไม่ง่ายเลยจริงๆ เว็บดูหนัง
เรื่องเริ่มต้นกับความว่องไวและรวดเร็วของบริษัทนี้ที่ทำงานกับออนไลน์ จูลส์ตารางงานแน่นมาก เรียกได้ว่านับเป็นนาทีเลย คุยกับคนนี้ได้แค่ 5 นาที แล้วจะต้องไปประชุมอื่น บางทีจูลส์ต้องขี่จักรยานในออฟฟิศเพื่อออกกำลังกายไปในตัวด้วย เวลา เวลา แล้วก็เวลา นี่คือสิ่งที่จูลส์ไม่สามารถ Manage ได้ดีเลย แล้วเมื่อทุกอย่างเป็นเวลาขนาดนี้ เธอจึงมีสายตาเห็นสิ่งรอบข้างสักเท่าไร ไม่มีเวลาไปเรียนรู้ใคร ไม่ได้คุยกับใครที่ไม่อยู่ในตารางงานของเธอ เว็บดูหนังฟรี
แต่สิ่งที่จูลส์เห็นตลอดเวลาก็คือ โต๊ะที่แสนจะยุ่งเหยิงที่ไม่มีใครสะสางมันเสียที และทุกครั้งที่เห็นมัน ก็จะต้องมีคนเอางานไปกองบนโต๊ะนั้นต่อหน้าต่อตาเธอตลอด ไม่ต่างกับสารพัดปัญหาที่โยนเข้ามาในชีวิตของเธอ สุมๆ มันเอาไว้ เธอเห็นปัญหา แต่ทำได้แค่หยุดยืนแล้วหงุดหงิดกับมัน ไม่เคยเข้าไปสะสางมันสักที
ชีวิตของหลายคนในบริษัทก็ออกแนวยุ่งเหยิงอยู่เหมือนกัน ทุกคนเคยชินกับเทคโนโลยีเลยเลือกส่งข้อความหากัน ไม่ค่อยเผชิญหน้ากับใครด้วยตัวเองสักเท่าไร สิ่งที่เราเห็นจึงเหมือนกับในโลกแห่งความวุ่นวาย เบ็นเหมือนสิ่งที่ยึดเหนี่ยวทุกคนเอาไว้ไม่ให้ไหลไปกับกระแสที่รุนแรงนั่น เป็นที่พึ่งทางใจให้ทุกคน
ทุกอย่างในเรื่องเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเบ็นจัดการกับเจ้าโต๊ะอันแสนรกรุงรังนั่น มันทำให้ชีวิตของจูลส์ และเพื่อนร่วมงานของเขาเปลี่ยนไป หลังจากนั้น เราก็ไม่เห็นจูลส์ขี่จักรยานอีกเลย ชีวิตที่แทบไม่เคยหยุดฟังใคร ก็เริ่มเห็นหัวคนมากขึ้น
รีวิวหนังฝรั่ง The Intern
บริษัทที่เบ็นมาทำงาน เมื่อก่อนเขาก็ทำที่อาคารแห่งนี้เหมือนกัน มันเป็นโรงงานผลิตสมุดโทรศัพท์เก่า แล้วสุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ ต้องไปกับการเวลา จนกระทั่งตอนนี้มันกลายมาเป็นสำนักงานขายเสื้อออนไลน์แทนเสียแล้ว มันแสดงให้เห็นถึงเวลาที่เปลี่ยนไป ยุคเก่าไปยุคใหม่มา
แต่เบ็นผู้ซึ่งอยู่ในยุคเก่ายังสามารถมาอยู่ที่ยุคใหม่ของบริษัทนี้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของการปรับตัว อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของทัศนคติค่ะ ถ้าเบ็นถือทิฐิกว่านี้ว่าคนระดับรองผู้จัดการ (ตำแหน่งนี้ป่าวหว่า แต่ประมาณนี้แหละ) แบบเขาต้องมาเป็นเด็กฝึกงาน ทำงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น เอาเสื้อผ้าของเจ้านายไปซัก ไปซื้อกาแฟที่ร้าน ไปเป็นคนขับรถ เขาคงไม่สามารถข้ามผ่านยุคสมัยได้
มันแสดงให้เห็นจริงๆ ว่าการที่เขาเป็นเหมือนไม้ใหญ่ท่ามกลางกระแสคลื่นลมแรง มันเกี่ยวพันกับประสบการณ์ชีวิต และทัศนคติของตัวเองด้วยเหมือนกัน
วัยรุ่นแต่ละคนที่อยู่ในเรื่อง พวกเขาก็ต้องข้ามผ่านประสบการณ์ชีวิตหลายอย่าง เป็นบทเรียนที่เรียนรู้ไปเรื่อยๆ และไม่แน่ว่าเบ็นเองก็ผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาเหมือนกัน บอกได้จากตอนที่เบ็นพูดถึงภรรยาเก่าที่ตายไปแล้ว ว่าเธอมองโลกในแง่ดีแม้ชีวิตในตอนนั้นมันไม่ได้ดีก็ตาม (อาจแปลได้ว่า เบ็นผู้ซึ่งเป็นคู่ชีวิตก็มีแนวโน้มที่จะผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาได้ด้วยหนทางเดียวกัน)
นอกจากนี้ สำหรับสิ่งแวดล้อมของการทำงานที่บริษัทเสื้อผ้าออนไลน์ นับว่าหนังสะท้อนได้ค่อนข้างน่าสนใจนะคะ เรามักจะเห็นชื่อของ CEO ผู้ประสบความสำเร็จ เมื่อวันที่เขาอยู่บนแท่นแล้ว แต่เส้นทางของเขาก่อนจะมาถึง เขาต้องผ่านอะไรบ้าง มันสะท้อนให้เห็นชีวิตของจูลส์นี่แหละค่ะ
จูลส์ทำตั้งแต่ไปนั่งที่ Customer Service รับ Complaint จากลูกค้า แล้วตัดสินใจช่วยเหลือ เมื่อเกิดปัญหาที่ลูกค้า Complain ในเรื่องการจัดส่ง จูลส์ก็ลองสั่งสินค้าเพื่อส่งมาที่บ้านตัวเอง แล้วลองสังเกตว่าการส่งของเป็นยังไง เมื่อพบข้อบกพร่อง เธอก็ไม่รอช้า ลงทุนเดินทางไปที่คลังสินค้า เพื่อบอกกับพนักงานด้วยตัวเองแม้กระทั่งว่าเวลาที่แพ็คของ ควรจัดวางยังไง
ความใส่ใจของจูลส์ต่อธุรกิจของเธอ และต่อลูกค้าทำให้คนดูเห็นเลยว่าบริษัทที่มีแค่ 4-5 คนกลายมาเป็น 200 กว่าคน ไม่ได้ลอยมาจากสรวงสวรรค์แต่อย่างใด มันให้แรงบันดาลใจที่น่าทึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ขายฝันอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกัน
อีกหนึ่งสิ่งหนึ่งของฉากที่ชอบก็คือ ครอบครัวของจูลส์ ที่สามีเป็นพ่อบ้าน เขาเลือกที่จะหยุดความก้าวหน้าในหน้าที่การงานเพื่อดูแลลูก และเป็นฝ่ายสนับสนุนให้จูลส์สามารถทำงานของตัวเองต่อไปได้ และคุณแม่ทั้งหลายในละแวกบ้านที่เป็นผู้ปกครองของเพื่อนๆ ลูกที่ยังคงมีความคิดในยุคเดิมๆ ที่ผู้หญิงควรเป็นฝ่ายอยู่บ้านเลี้ยงลูก
แอบเสียดสีนิดหนึ่งนะ ตรงที่ว่าเรื่องผู้หญิงแม่บ้านยุคใหม่ กลับต้องให้ชายชราวัยเกษียณมานั่งชื่นชมแทนที่จะเป็นผู้หญิงวัยเดียวกันเองเป็นคนทำแบบนั้น
สิ่งที่ทำให้คิดที่สุดในเรื่องสำหรับหนิง เห็นจะเป็นเรื่องที่บทพูดคำว่า right เยอะมาก เบ็นจะพูดถึงในเรื่องทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่เสมอ โดยที่เหล่าวัยรุ่นทั้งหลายในบริษัทก็ตั้งคำถามเหมือนกันว่าแล้วต้องทำยังไงถึงจะทำได้ถูกต้อง (ซึ่งอาจจะเกิดจากประสบการณ์และทัศนคติ) ทว่า แม้ในหลายเรื่องที่เบ็นทำ เป็นไปในสิ่งที่ถูกต้องและควรจะเป็น แต่หนังก็ไม่ได้แสดงว่า เบ็น (หรือตัวแทนของผู้อาวุโส) จะเป็น Mr.Right เสมอไป สิ่งนั้นปรากฏในตอนที่เขาออกความเห็นเรื่องการบุกเข้าไปในบ้านแม่ของจูลส์เพื่อจัดการกับคอมพิวเตอร์ มันไม่ใช่การกระทำที่ right แน่ๆ ล่ะ
แน่นอนในท้ายที่สุดของเรื่อง ปัญหาที่เกิดขึ้นกับจูลส์ได้รับการคลี่คลาย (ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการ Interrupt ของเบ็นที่มีอิทธิพลให้ตัว antagonist made it right) เป็นการคลี่คลายแบบที่น่าพอใจสมกับเป็นหนังฟีลกู๊ดน่ะนะ แต่โดยส่วนตัว คิดว่าเรื่องนี้จะให้ Impact มากขึ้นถ้าตัว antagonist made it wrong เพื่อที่จะเรียนรู้ต่อไปว่าควรจะ make it right ยังไงต่อไป
แต่ก็นั่นแหละ สามารถมองได้อีกมุมหนึ่งก็คือ ในเมื่อมีคนที่มีประสบการณ์ชีวิตที่อาจจะเคยทำอะไร wrong มาก่อนมาแนะนำหนทางที่ right โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องไปมะงุมมะงาหราเสียเวลาเดินทางที่ wrong (ค้านเองแก้ตัวเองไงก็ไม่รู้แฮะ)
และนี่คือที่หนิงเห็นในสิ่งที่หนิงหนังต้องการแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของผู้อาวุโสที่ผ่านร้อนผ่านหนาวดุจไม้ใหญ่ที่แผ่ร่มไทรให้กับ Generation ถัดไป และถัดๆ ไป เป็นคุณค่าที่บางครั้งคนสมัยนี้มองข้ามไป เรื่องนี้ช่วยกระตุ้นให้คนกลับมาคิดถึงในจุดนี้อีกครั้งหนึ่ง (โดยเฉพาะโลกตะวันตก)
หนังบอกเล่าความสัมพันธ์ของผู้คนในยุคสมัยที่มีสื่อสังคมออนไลน์กันมากขึ้น ที่ส่งเมล์หากันมากกว่าการพูดคุย มองตาหรือว่ามีเวลาร่วมกัน อย่างตัวละครในเรื่องเวลาจะกล่าวขอโทษใคร ยังใช้การส่งอีเมล์และเพิ่มตัวอักษร ในคำว่า ขอโทษให้ยาวขึ้นเพื่อแสดงว่า เขารู้สึกขอโทษจริงๆ แต่ เบน บอกว่า เข้าไปพูดขอโทษจริงๆเลย
จะดูจริงใจกว่า มันเป็นสิ่งที่คนสมัยนี้หลงลืมไป หนังพยายามผสานข้อดีข้อเสียของเทคโนโลยี คนสมัยเก่านั้นมีความจริงใจและตรงไปตรงมา ในขณะที่คนสมัยใหม่มีสื่อสังคมออนไลน์มากมายทำให้นำเสนอแต่ด้านดีๆของตนเอง แต่เราทุกคนก็เป็นแค่คนธรรมดาก็มีทั้งข้อดีทั้งข้อเสียไม่มีใครที่จะดีทุกอย่าง
เมื่อกล่าวถึงมุมมองของผู้หญิงทำงานในยุคสมัยที่สังคมรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมของชายและหญิง หลายครั้งที่ จูลส์ โดนเพื่อนบ้านซุบซิกกันว่าเธอไม่ทำตัวเป็นภรรยาที่ดี ที่ให้สามีมาเป็นพ่อบ้านเลี้ยงลูกแทน และเธอออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัวเอง จูลส์ มักจะมีคำถามกับผู้ชายในเรื่องตลอดว่า
การที่ตัวเธอเป็นผู้หญิงที่ทุ่มเทให้กับการทำงาน มันผิดตรงไหน ? ปัญหาที่เธอเจอล้วนไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องภาวะของอารมณ์ และเรื่องบริบทของผู้หญิงที่สังคมรอบข้างคาดหวังจากตัวเธอ ล้วนกดดันให้เธอแทบจะเสียสติเพราะความเครียด เบน เข้ามาเติมเต็มตรงนี้ หลายครั้งที่ เบนรับฟังปัญหาของเธอ และเป็นผู้ฟังที่ดีให้เธอได้ระบาย จูลส์ จึงรู้สึกว่าการที่มีเบนเป็นที่ปรึกษานั้น ทำให้เธอสงบลงได้