รีวิวหนังฝรั่ง Bullet Train
ระห่ำด่วน ขบวนนักฆ่า ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ แบรด พิตต์ จากนิยายขายดีของญี่ปุ่น สู่ภาพยนต์แอ็คชั่น คอมเมดี้ ตลกร้าย เมื่อเหล่านักฆ่า มากฝีมือ มารวมตัวต่างคนต่างทำภารกิจ(เดียวกัน)บนรถไฟหัวกระสุน ความวายป่วงสุดมันจึงบังเกิด ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
‘Bullet Train’ หรือในชื่อไทย ‘ระห่ำด่วน ขบวนนักฆ่า’
หนังแนวแอ็กชันคอมมีดี้สีสันจัดจ้านเรื่องล่าสุดของ โซนี่ พิกเจอร์ส (Sony Pictures) และ โคลัมเบีย พิกเจอร์ส (Columbia Pictures) ที่คราวนี้เลือกหยิบเอาความเป็นมาตุภูมิ บ้านเกิดเมืองนอนของโซนี่อย่างประเทศญี่ปุ่นมาเล่าในรูปแบบของหนังคอมมีดี้แอ็กชัน โดยเฉพาะการหยิบเอาเรื่องราวจากหนังสือนิยายแนวอาชญากรรมขายดีของญี่ปุ่น ที่มีศูนย์กลางของเรื่องก็คือรถไฟหัวกระสุน หรือรถไฟ ‘ชิงกังเซน’ ชื่อกระฉ่อนที่คนทั้งโลกรู้จักกันดีนั่นเอง ดูหนังออนไลน์
แซ็ก โอลเกวิคซ์ (Zak Olkewicz) ผู้เขียนบทหนังเรื่องนี้ ดัดแปลงบทมาจากเรื่องราวในหนังสือนิยายแนวแอ็กชันของญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า ‘Maria Beetle’ (2010) ผลงานของ อิซากะ โคทาโร (Kotaro Isaka) ซึ่งเรื่องดั้งเดิมเป็นการเล่าเรื่องการดวลกันของนักฆ่าบนรถไฟชิงกังเซน ซึ่งถ้าใครถ้าอยากหามาอ่านก่อนดูหนัง ก็สามารถติดต่อสำนักพิมพ์กำมะหยี่ ถามหาหนังสือเล่มนี้ฉบับแปลไทยในชื่อว่า ‘รถไฟสายนักฆ่า’ หนังสือลำดับที่ 2 ในชุด ‘ไตรภาคนักฆ่า’ จากผู้เขียนคนเดียวกันได้เลยนะครับ
ความน่าสนใจของ ภาพยนตร์ Bullet Train ระห่ำด่วน ขบวนนักฆ่า คือได้นักแสดงชั้นนำของโลกมาเล่นให้อย่างแบรด พิตต์ ซึ่งแม้อยู่ในวัย 58 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังบู๊ระห่ำ และยอมเล่นบทเอาฮา แบบตลกร้ายแบบไม่มีห่วงหล่อ หรือไม่มีมากังวลกับมาดพระเอกแห่งยุคสมัยเลย ดูหนังฟรี
โดยตัวหนัง ภาพยนตร์ Bullet Train ระห่ำด่วน ขบวนนักฆ่า นั้น มีการปูเรื่อง ปูตัวละควรหลายตัว
คล้ายๆกับภาพยนตร์ Snatch ในปี 2000 ในงานสไตล์ของ กาย ริชชี่ ผู้กำกับชื่อดัง ซึ่งมีสไตล์แบบ crime comedy film กล่าวคือให้ความสำคัญกับตัวละคร ตัวรองๆทั้งหมด ,เพื่อให้เรื่องราวยุ่งเหยิง วุ่นวาย ก่อนจะไปคลายปมทุกอย่างในช่วงบทสรุปสุดท้าย แบบหนังอาชญกรรมตลกร้าย , นอกจากนี้ ภาพยนตร์ Bullet Train ยังมีความกวนประสาทในบทสนทนา dialog ไดอะล็อก ให้อารมณ์แบบดูหนังยียวนกวนอารมณ์ในแบบเดียวกับเควนติน ทาแรนติโน่
Bullet Train ระห่ำด่วน ขบวนนักฆ่า เล่าเรื่องราวของ เลดี้บั๊ก นักฆ่าพาซวย ที่โชคชะตามักจะมีอะไรเซอร์ไพรส์เสมอ กับภารกิจครั้งสำคัญที่ทำให้เขาต้องปะทะกับนักฆ่าจากทั่วโลก ทุกคนต่างมีเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกันแต่ก็ต้องต่อกรกันอย่างเลี่ยงไม่ได้บนรถไฟที่เร็วที่สุด…เขาจะลงจากขบวนรถไฟได้อย่างไร ปลายทางสุดโกลาหล เป็นจุดเริ่มต้นความระห่ำ
นี่คือผลงานล่าสุดของผู้กำกับ “เดวิด ลิตช์” ผู้ที่เคยสร้างตำนานให้กับ Deadpool 2 และบู๊สุดเฉียบใน Atomic Blonde โดยในครั้งนี้เขายังกลับมาหยิบจับผลงานระดับบ็อกซ์บัสเตอร์ทุนหนาอีกครั้ง ด้วยการดัดแปลงเรื่องราวจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันของ “โคทาโร่ อิซะกะ” ถือนับว่าผลงานชิ้นนี้เป็นงานเขียนระดับมาสเตอร์พีชในอาชีพของเขาเลยก็ว่าได้
แน่นอนว่า เดวิด ลิตช์ ยังคงรู้ทิศทางและแนวทางในการดีไซต์หนังแอคชั่นระห่ำที่มีพื้นที่จำกัดอยู่เพียงแค่รถไฟขบวนเดียวได้อย่างมีพรสวรรค์ ผู้ชมสามารถไว้วางใจกับองค์ประกอบของฉากบู๊ต่าง ๆ ที่ถือว่าออกแบบมาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ และใส่เข้าไปได้รสสัมผัสที่จัดจ้านดีไปตลอดทั้งเรื่อง ถือว่าเป็นอีกสิ่งที่ทำออกมาได้ไม่เสียของ และไปได้เกือบสุดทางอยู่
แต่กระนั้น Bullet Train ก็ยังเต็มไปด้วยจุดบกพร่องประปรายตามทางของหนังตลอด 2 ชั่วโมง รีวิวหนังฝรั่ง Bullet Train
แน่นอนว่าจุดหนึ่งที่ทำให้รู้สึกยังไม่ซื้อหนังเรื่องนี้สักเท่าไหร่ นั่นก็คือการที่หนังพูดมากเกินไปสักหน่อย หนังเปิดฉากมาด้วยการสนทนาปูเรื่องในช่วง 30 นาทีแรก ที่สารภาพตรง ๆ ว่าอ้าปากห้าวไปหลายรอบ แม้ว่าบทจะส่งมุกจิกกัดชวนหัวร่อออกมา แต่กลับไม่สามารถทำปฏิกิริยาร่วมได้สักเท่าไหร่
ก่อนจะเข้าไปดูเรื่องนี้ผมพอจะรู้ถึงกระแสของภาพยนตร์เรื่องนี้จากสื่อหลาย ๆ ช่องทางว่า เป็นภาพยนตร์ที่แม้แต่คนแต่งนวนิยายยังพูดเองว่า “มันโคตรน่าดูเลยยย!” และเมื่อผมได้รับชมตัวอย่างภาพยนตร์ครั้งแรกผมถึงกับต้องตกใจกับแสงสีและโทนหนังอย่างมาก มันทำให้รู้สึกถึงความเป็นโลกอนาคต แปลก และเท่ ในเวลาเดียวกัน ถึงแม้ว่าในตัวอย่างจะไม่ได้บอกอะไรเรามากไปกว่าการได้รับภาระกิจให้ชิงกระเป๋าเอกสาร เบื้องลึกเบื้องหลังของตัวละครเราคนดูคงต้องเข้าไปหาเองในภาพยนตร์ ด้วยตัวอย่างเพียง 2นาที สามารถกระตุ้นความตื่นเต้นและความอยากได้อย่างสวยงาม
ในช่วงต้นเรื่องเป็นการดำเนินเรื่องแบบรวบรัดสุด ๆ
จนคนดูอาจจะเกิดอาการ งง เล็กน้อยแต่ไม่ต้องตกใจไปครับ ขอให้ทนดูไปสักพักแล้วเราจะเข้าใจเนื้อเรื่องทุกอย่างเอง เพราะผู้กำกับตั้งใจจะเล่าเรื่องหลักของภาพยนตร์ตัดสลับกับการเล่าเรื่องภูมิหลังของตัวละคร ที่เล่าออกมาได้ราบรื่นและเข้ากับจังหวะของภาพยนตร์แบบไม่มีติดขัด บางคนอาจจะมองว่าตัวละครพูดมากไปแต่สำหรับผมแล้วกลับรู้สึกว่า มันพูดมากแบบนี้แหละดูกวนดีแถมยังทำให้เข้าใจว่าสาเหตุอะไรทำไมถึงเกิดเหตุการณ์ขึ้นแบบนี้เพราะในภาพยนตร์ เหตุการณ์ทุกอย่างมันเชื่อมโยงและมีเหตุผลของมันไม่เว้นแม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ ผู้กำกับเล่าออกมาได้แปลกและรู้สึกเหมือนจะสนุกสนานกับการใส่เซอร์ไพรส์ให้เราคนดูตื่นเต้นได้ตลอด
หนังเรื่องนี้ได้ผู้กำกับสายแอ็กชันอย่าง เดวิด ลิตช์ (David Leitch) มากำกับให้ครับ ที่บอกว่าสายแอ็กชันก็เพราะว่างานของเขานี่เด่นไปทางหนังแอ็กชันระดับบล็อกบัสเตอร์ทั้งนั้นเลย ตั้งแต่ ‘John Wick’ (2014) (กำกับร่วมกับ แชด สตาเฮลสกี (Chad Stahelski)) ‘Atomic Blonde’ (2017), ‘Deadpool 2’ (2018) และ ‘Fast & Furious: Hobbs & Shaw’ (2019)
เรื่องราวย่อ ๆ ของหนังเรื่องนี้ ว่าด้วยเรื่องราวของนักฆ่าหนุ่มนาม ‘เลดี้บัก’ (Brad Pitt) (ชื่อน่ารักมุ้งมิ้งเชียว (555) เลดี้บักเป็นนักฆ่าประสบการณ์โชกโชน แต่มักจะพบกับจังหวะชีวิตเฮงซวย เจอเรื่องดวงกุดอยู่บ่อย ๆ ก็เลยอยากจะพักงาน สงบจิตใจ เดินเที่ยวเมืองญี่ปุ่นบ้างอะไรบ้าง แต่แล้วเขาเองก็ต้องจำใจรับภารกิจจาก ‘มาเรีย บีเทิล’ (Sandra Bullock) ให้ไปฉกกระเป๋าปริศนาใบหนึ่งบนรถไฟหัวกระสุนชิงกังเซน
ช่วงแรกของ ๆ ของ Bullet Train จึงมีพร้อมกับอารมณ์เหมือนนั่งรถไฟผิดตู้หรือผิดคลาสที่ซื้อตั๋วเอาไว้ หนังค่อนข้างปูทางได้ไม่น่าดึงดูดสักเท่าไหร่ ถึงจะใช้เทคนิคตัดต่อสลับฉึบฉับและหยอดมุกให้ดูขบขัน แต่กลับยังไม่สามารถประสบความสำเร็จในตรงนั้นได้ แต่ก็มีเพียงเท่านั้น เพราะเมื่อหนังเข้าเรื่องราวและจุดประกายของเรื่องติดได้แล้ว ก็ค่อย ๆ ไหลลื่นขึ้นไปได้ดีตลอดทาง
แน่นอนว่าไฮไลต์เด็ดดวงของเรื่องนี้ก็คือทีมนักแสดงนั่นเอง รีวิวหนังฝรั่ง Bullet Train
แม้ว่าภาพหนังจะขาย “แบรด พิตต์” ที่นักแสดงนำ แต่จริง ๆ เขาก็เป็นแค่เพียงดาราเบอร์ใหญ่ที่สุดของเรื่องเท่านั้น เพราะ Bullet Train ไม่ได้แค่ให้แต่แอร์ไทม์กับแบรดเพียงคนเดียว ยังมี “โจอี้ คิง”, “แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน” หรือ “ไบรอัน ไทรี เฮนรี” ที่ได้รับการเกลี่ยเฉลี่ยบทคละเคล้ากันค่อนข้างเสมอภาคดีในหนังเรื่องนี้ แบบที่ไม่มีใครโดดเด่นไปเหนือกว่าใคร
และต้องปรบมือกับพรสรรค์และทักษะของแคสติ้งชุดนี้ ที่ต้องยอมรับเลยว่าพวกเขาคือจุดขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ Bullet Train เคลื่อนขบวนไปข้างหน้าได้อย่างเอ็นจอยตลอดการเดินทาง แม้จะมีจุดที่ขรุขระอยู่บ้าง แต่กระนั้นไปถึงจุดหมายปลายทางได้ปลอดภัยดีอยู่ เคมีของนักแสดงและการเข้าขากันดีโดยธรรมชาติของพวกเขา เป็นสิ่งที่ส่งเสริมหนังเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ในขณะที่องค์ประกอบอื่น ๆ ก็ถือว่าน่าพอใจ ทั้งงานดีไซน์ฉากและบรรยากาศโดยรอบ ที่ต้องสื่อสารความเป็นญี่ปุ่นออกมาทั้งเรื่อง แม้ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นก็คือญี่ปุ่นแบบฮอลลิวูด ๆ ที่มักจะเน้นดีไซน์แสงสีจัดจ้านไปสักหน่อย กับการที่ชอบใส่ความกุ๊กกิ๊กกิมมิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เมื่อ 10 ปีเคยทำอย่างไรก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ ถึงกับอยากจะไปกระซิบบอกผู้สร้างว่า ญี่ปุ่นแบบนี้มันค่อนข้างดูปลอมไปสักนิด