รีวิว Raya and the Last Dragon
นานมาแล้ว ในโลกมหัศจรรย์แห่งคูมันดรา มนุษย์และมังกรอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ แต่เมื่อเหล่าสัตว์ประหลาดสุดชั่วร้ายที่เรียกว่า ดรูน ได้บุกรุกเข้ามา เหล่ามังกรได้เสียสละตัวเองเพื่อปกป้องมนุษยชาติ ตอนนี้ 500 ปีผ่านไป สัตว์ประหลาดพวกนั้นได้กลับมาอีกครั้ง และมันเป็นหน้าที่ของ รายา (พากย์เสียงโดย แคสซี่ สตีล) นักรบผู้สันโดษ กับการตามหามังกรตัวสุดท้าย เพื่อที่จะกำจัดดรูนให้หายไปตลอดกาล อย่างไรก็ตาม ระหว่างการเดินทางของเธอ เธอจะได้รู้ว่า มันต้องใช้มากกว่ามนต์มังกรในการปกป้องโลก มันยังต้องใช้ความเชื่อมั่นอีกด้วย
รีวิว Raya and the Last Dragon
ข่าวคราวของแอนิเมชันดิสนีย์อย่าง Raya and the last dragon นับว่าจับความสนใจคนอาเซียนได้ไม่น้อยเพราะเล่นประกาศว่าตัวคาแรกเตอร์รายาและตัวละครประกอบต่างได้แรงบันดาลใจจากเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และในวันนี้ที่หนังได้เข้าฉายอย่างเป็นทางการ เราจะได้รู้ผลลัพธ์แล้วล่ะว่าตกลงรายาเป็นคนไทยหรือคนชาติไหนกันแน่ ?
กล่าวถึงเนื้อเรื่องกันก่อนตัวหนังเปิดด้วยตำนานเมืองคูมันดราดินแดนยิ่งใหญ่ที่มีสายน้ำผ่านจนเกิดเป็นอวัยวะมังกร 5 เมืองได้แก่ กรงเล็บ เขี้ยว สันหลัง หัวใจ และ หาง แต่เมื่ออสูรร้ายอย่างดรูนบุกโลกเหล่ามังกรจึงพร้อมใจกันต่อสู้สละชีวิตทิ้งไว้เพียงอัญมณีแห่งมังกรที่เก็บอยู่ในเมืองของเผ่าหัวใจ
และเมื่อกาลผันผ่านร่วม 500 ปี เบญจา (แดเนียล แด คิมให้เสียงพากย์) หัวหน้าเผ่ามังกรคิดรวมเผ่าสร้างคูมันดราอีกครั้งจึงเปิดบ้านเชิญเผ่าต่าง ๆ เข้ามาและมันทำให้ รายา (เคลลี มารี ทราน ให้เสียงพากย์) เจ้าหญิงเผ่าหัวใจ ได้พบกับ นัมมาอารี (เจมมา ชานให้เสียงพากย์) เจ้าหญิงเผ่าเขี้ยว จนเกิดความโกลาหลขึ้นเมื่อฝ่ายหลังใ้ช้มิตรภาพหลอกล่อเพื่อชิงอัญมณีแห่งมังกรจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ และปลดปล่อยดรูนออกมากัดกินและทำให้ผู้คนถูกสาปแข็งเป็นหินอีกคร้้ง และเพื่อแก้ไขเรื่องทั้งหมดรายาจำต้องรวบรวมเศษอัญมณีจากเมืองต่าง ๆ เพื่อปลุกชีพมังกรและถอนคำสาปให้มนุษย์หินกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ดูหนัง
เนื้อเรื่อง
เอาล่ะก่อนจะไปตัดสินว่ารายาเป็นคนชาติไหน ? เรามาทำความเข้าใจในหลักการคิดเรื่องเสียก่อน เอาเข้าจริงคือพลอตเรื่องนี่มาทาง Brave ของฝั่งพิกซาร์ไม่น้อยและมันก็ยังเดินตามไบเบิลหนังทำเงินของดิสนีย์แทบทุกกระเบียดนิ้วโดยเฉพาะตัวละครน่ารักที่มาแย่งซีนโดยเฉพาะ คราวนี้ Raya ก็ขนมาเพียบทั้งเจ้าตุ๊กตุ๊กสัตว์ที่ผสมทั้งความบ้องแบ๊วของหมาตัวเหมือนเม่นและกลิ้งได้เหมือน BB8 ใน Star Wars แถมด้วยเหล่าแก๊งจอมโจรผ้าอ้อมสุดแสบ นำโดยน้อยทารกสาวแสบที่เธอพบในเผ่ากงเล็บ ไม่นับรวมพวกแมวยักษ์ของเผ่าเขี้ยวอีก โอ้โหคือแทบจะสำลักความปุกปุยบ้องแบ๊วกันทั้งเรื่องก็ว่าได้
และแน่นอนว่าในสูตรสำเร็จดิสนีย์มักมีประเด็นที่ต้องการสื่อเสมอโดยเฉพาะ Raya เองก็มีประเด็นเรื่องความไว้ใจที่หนังเองก็ช็อกคนดูด้วยฉากเปิดเรื่องที่เต็มไปด้วยหายนะที่น่าตกใจไม่น้อย และมันให้ภาพด้านลบกับความไว้ใจมาก ๆ จนมันนำไปสู่เควสต์ของนางเอกที่ต้องกอบกู้สถานการณ์โดยประเด็นเรื่องความไว้ใจเป็นธีมที่ร้อยรัดกันไปทั้งเรื่องแต่สิ่งหนึ่งที่หนังไม่อาจสร้างความไว้ใจให้เราได้เลยคือโจทย์ของวัฒนธรรมที่หนังเอามานำเสนอนี่แหละ
ทีนี้สิ่งที่คิดว่าน่าสนใจและชวนคิดต่อมากคือการพยายามสร้างโลกและเรื่องราวที่อิงกับความเป็นอาเซียนนี่แหละ ที่ดิสนีย์ก็ไม่ได้เอาวัฒนธรรมมาทื่อ ๆ หรอกนะครับแต่ปน ๆ กันให้เราจับนู่นผสมนี่คิดเอาเองว่ามาจากชาติไหนดังนั้นเราจึงเห็นหน้าตาตัวละครที่โครงหน้าคล้ายคนฮาวายจาก Stitch & Lilo มาอยู่ในชุดคล้ายคนอินโดนีเซียมั่ง เวียดนามมั่ง เดินอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศแบบเกาะบาหลี แต่ชื่อตัวละครปน ๆ มีทั้งลาว – ไทยอย่าง น้อย ทอง บุญ ตุ๊กตุ๊ก (แต่มังกรชื่อ ซิซู นะ) บวก ๆ มั่ว ๆ กับชื่อประหลาด ๆ ที่ไม่คุ้นเลยว่าจะเป็นคนอาเซียนแต่หากมองดูดี ๆ เราจะพบว่า Raya อาจกำลังวิพากษ์บางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์มากสำหรับคนอาเซียนนั่นคือการหาเรื่องทะเลาะกันเอง ดูหนังออนไลน์
การดำเนินเรื่อง
ที่แน่นอนเลยว่าแต่ละชาติย่อมจะต้องตีความเข้าข้างตัวเองแน่นอนว่าดิสนีย์หยิบวัฒนธรรมของชาติตนอะไรบ้างไปแอปพลายนำเสนอในแอนิเมชันที่จินตนาการจัด ๆ แบบนี้ลำพังอย่างชื่อตัวละครน้อยเด็กทารกที่ไม่พูดเลยและอยู่แต่กับลิงเนี่ยชวนสงสัยมากเพราะเอาจริง ๆ จะน้อย จะทอง จะบุญ หรือตุ๊กตุ๊กก็ยากจะตัดสินแล้วว่าชื่อแบบนี้คือชื่อคนไทยหรือลาวเพราะเรามีวัฒนธรรมร่วมที่มีความใกล้เคียงกันมากหรือกระทั่งอินโดนีเซีย มาเลเซียเองก็มีความคล้ายกันมาก ๆ จนในสายตาฝรั่งที่แม้ทีมงานบทจะมีชื่อคนเชื้อสายเอเซียอยู่ ก็ยากจะแยกออกจนทำให้หนังดูมีความเป็นพหุวัฒนธรรมที่กลมกลืนกันจนยากจะแยกว่าเอามาจากชาติไหน
รีวิว
แปลกไม่น้อยที่หนังหยิบเอาประเด็นการรวมกันเป็นปึกแผ่นมาพูดควบคู่ไปกับประเด็น “ความไว้ใจ” ที่หนังเอาเป็นธีมหลักของเรื่องราวยิ่งพิจารณาจากนโยบายเขตเศรษฐกิจอาเซียนที่ตั้งแต่ก่อตั้งปี 2510 ยาวมายัน 2553 หรือ 11 ปีก่อนเราแทบ “ไม่เคยมีหัวใจเดียวกัน” สักเรื่องไม่ว่าจะเป็นกำหนดการเปิดเรียนหรือการตกลงเรื่องการค้าที่เป็นรูปธรรมเราได้แค่ “เศษเสี้ยว” ของผลประโยชน์ไม่ต่างจากอัญมณีแห่งมังกรที่หล่นแตกตอนต้นเรื่องดังนั้น Raya and the last dragon ก็เหมือนบทเรียนอาเซียนในอุดมคติที่อเมริกาเหมือนแซะเราว่า “เมื่อไหร่จะมีใครเริ่มเสียที” ดูหนัง4k
รีวิว Raya and the Last Dragon
นับเป็นเวลากว่า 4 ปีเศษๆ จาก Moana (ถ้าไม่นับหนังภาคต่อ) Raya and the Last Dragon ถือว่าเป็นหนังดิสนีย์เรื่องล่าสุดที่ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งจริงๆ แล้วตัวหนังมีแพลนว่าจะเข้าช่วงปลายปีที่แล้ว แต่เพราะสถานการณ์โควิดทั่วโลก เลยทำให้หนังขยับมาฉายในช่วงต้นมีนาแทน พร้อมกับเปิดช่องทางให้ดูผ่านทางสตรีมมิ่งอีกด้วยสำหรับเนื้องเรื่องของ Raya and the Last Dragon หรือ รายากับมังกรตัวสุดท้าย เล่าถึงนครคูมันตรา ที่เมื่อ 500 ปีก่อน เป็นนครที่มนุษย์และมังกรอยู่ด้วยกันอย่างมีสันติ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ปีศาจชื่อว่า ดรูน ได้แผ่ความชั่วร้ายออกมาทำร้ายมนุษย์ ทำให้เหล่ามังกรต้องต่อสู้เพื่อยับยั้งพลังมืดนี้ ซึ่งทำให้เหล่ามังกรเกือบทั้งหมดเสียสละตัวเองเพื่อช่วยโลกใบนี้ไว้แต่แทนที่มนุษย์จะปรองดองกัน กับกลายเป็นว่าทุกคนก็เริ่มแบ่งพรรคแบ่งพวก จนทำให้นครคูมันตราแตกแยกออกไปเป็น 5 เมืองใหญ่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และแน่นอนว่า รายา ต้องทำภารกิจกู้คืนความเป็นปึกแผ่นของนครนี้ ด้วยการออกตามหามังกรตัวสุดท้ายในตำนานที่เธอเชื่อ ดูหนัง4kออนไลน์
รีวิว รายากับมังกรตัวสุดท้าย
แน่นอนว่าด้วยความที่เนื้องเรื่องมีความแฟนตาซีผจญภัย ทำให้หนังเรื่องนี้ทำหน้าที่เล่าออกมาได้สนุกจัดๆ เข้าถึงได้ง่าย ทำให้หลายๆ ฉากในเรื่องรู้สึกอินได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นบางฉากก็รู้สึกว่า มันน่าจะขยี้ได้มากกว่านี้อีกนิดดดนึงนะ ทำให้เกิดความเสียดายอยู่เนืองๆ
ส่วนจุดแข็งของหนังเรื่องนี้ ถ้าให้ยกละก็น่าจะเป็นการผสมผสานความเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เยอะมากกกกก เพราะจากที่ตามอ่านข้อมูลต่างๆ ข้อหนัง ก็ทำให้รู้ว่าทีมเบื้องหลังหลักๆ ของเรื่องนี้เป็นชาวเอเชียค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นคนเขียนบทอย่าง อเดล ลิม เจ้าของผลงานอย่าง Crazy Rich Asians หรือแม้กระทั่ง ฝน-ประสานสุข วีระสุนทร ที่รับหน้าที่เป็น Head of Story ในเรื่องนี้ ได้กำหนดทิศทางต่างๆ ไว้อย่างเยอะแยะ
ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์เมืองแต่ละเมือง ฉากต่างๆ สถานที่ ฉากการต่อสู้ หรือแม้แต่อาหาร ที่ทีมรีเซิร์จทำหน้าที่ได้ละเอียดยิบ! เรียกว่าเก็บมันทุกดอกเลยก็ว่าได้ ซึ่งความละเอียดนี้กลายเป็นอีกหนึ่งกิมมิคที่ทำให้คนดูได้สังเกตว่าแต่ละอย่างในเรื่องที่เห็น มีการผสมผสานจากสิ่งไหนในประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วย
เรื่องย่อ
RAYA AND THE LAST DRAGON เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในดินแดน Kumandra ซึ่งเป็นเสมือนภูมิภาค Southeast Asia แต่ทว่าไม่ได้มีการแบ่งแยกพรมแดนเป็นประเทศ ๆ อย่างที่เราคุ้นเคย หากแต่แบ่งเป็นชื่อเผ่าตามชื่อส่วนต่าง ๆ ของมังกร ได้แก่ Fang (เผ่าเขี้ยว), Talon (เผ่ากรงเล็บ), Spine (เผ่าสันหลัง), Tail (เผ่าหาง), และ Heart (เผ่าหัวใจ)
Raya (ชาวอเมริกันเชื้อสายเวียดนาม Kelly Marie Tran จาก Star Wars – The Last Jedi) เป็นลูกสาวของ Chief Benja (ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี Daniel Dae Kim จาก Divergent) หัวหน้าเผ่า Heart และเป็นผู้ดูแลมณีมังกร (dragon gem) ซึ่งเป็นอัญมณีสำคัญที่ช่วยปกปักรักษาบ้านเมืองจาก “Druun” ซึ่งเป็นหมอกพิษสีม่วง ๆ พัดผ่านที่ใด ที่นั่นก็จะกลายเป็นทะเลทราย สัตว์และผู้คนก็จะกลายเป็นรูปปั้น
Raya ถูก Namaari เจ้าหญิงแห่งเผ่าเขี้ยว (ชาวอังกฤษเชื้อสายจีน Gemma Chan จาก Crazy Rich Asians) คนที่เธอคิดว่าเป็นเพื่อนอย่าง หักหลัง มาขโมย dragon gem และเป็นเหตุให้ dragon gem แตกเป็น 5 ส่วน จนปีศาจร้ายอย่าง Druun กลับมาอาละวาดอีกครั้ง ส่งผลให้ Kumandra กลายเป็นดินแดนดิสโธเปีย และพ่อของ Raya ก็กลายเป็นรูปปั้นหินด้วยเช่นกัน ส่วน Raya หนีไปได้พร้อมกับเศษ dragon gem 1 ชิ้น และ Tuk Tuk (Alan Tudyk ผู้ให้เสียง K-2SO ใน Rogue One: A Star Wars Story) แมลงคู่ใจของเธอ (ซึ่งพอโตมา ก็เป็นพาหนะกลิ้ง ๆ ได้เหมือนเจ้า BB-8)
สรุปโดยรวม
ส่วนเรื่องเสียงพากย์ ขอออกตัวก่อนว่าได้ดูซ้ำ 2 รอบแล้ว แบบต้นฉบับพากย์อังกฤษ กับ พากย์ไทยที่หลายๆ คนแอบคิดว่า ญาญ่า ที่เป็นดาราระดับแนวหน้าของไทยนั่นจะพากย์ได้ดีขนาดไหน ซึ่งในมุมส่วนตัวรู้สึกว่า ญาญ่า ทำการบ้านมาค่อนข้างดีเลย ถึงแม้ว่าอาจจะมีความไม่เข้ากันนิดๆ กับทีมนักพากย์คนอื่นๆ ในช่วงแรกๆ แต่พอเราคุ้นเคยกับเสียงของญาญ่าไปแล้ว ทำให้รู้สึกว่า ญาญ่าก็เป็นนักพากย์อีกคนหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่เสียอรรถรสไปมากมายอย่างแน่นอน
แต่ความเซอร์ไพรส์ของตัวเอง กลับกลายเป็นว่า เสียงพากย์ของมังกรเวอร์ชั่นภาษาไทยที่ได้ พิมพิดา พิทักษ์สงคราม มาพากย์เสียงนี้ บอกเลยว่าเหมือน Awkwafina มาพูดไทยใส่เลย (ฮาาาาาาา) ทำให้หนังดูลื่นและมีเสน่ห์เอามากๆ เลยล่ะสรุปแล้ว Raya and the Last Dragon เป็นหนังที่ดูได้ทั้งพากย์ไทยและซับไทยนะ มีความสนุกแบบดูเพลินๆ แต่ก็แอบเสียดายที่หนังดูสั้นไปนิดดดนึง อยากให้ตอนที่อยู่ในแต่ละเมืองยาวกว่านี้อีกนิดนึง ไม่งั้นจะเต็มอิ่มมากกว่านี้ล่ะนะ
ยำใหญ่เจ้าหญิงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้บทจะคาดเดาง่าย และตัวละครต่าง ๆ และโลกของหนังจะหลวมจนจืดชืด ไม่มีอะไรให้จดจำ
แต่ประเด็นความเชื่อใจ ฉากแอ็คชั่น งานภาพ เสียง และการนำเสนอวัฒนธรรมถือว่าสอบผ่านอยู่
สรุป
ถือเป็นก้าวแรกของดิสนีย์ในการหยิบนำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของดิสนีย์ที่ไม่ได้แย่ ดีตามมาตรฐาน พอจะตีตลาดเป้าหมายเอเชียได้ แต่ในภาพรวมไม่มีอะไรน่าจดจำ โดดเด่น แม้จะมีความแตกต่างจากงานดิสนีย์ก่อนหน้าในทางการนำเสนอเจ้าหญิงดิสนีย์ที่จับต้องง่ายด้วยความติดดินและวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับคนไทย งานภาพและดีไซน์วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ก็สวยดีมีรายละเอียดแต่นำเสนอออกมาแบบพอผ่าน ๆ แต่ด้วยประเด็นของเรื่องที่เข้มข้นแม้ไม่ได้ขยี้อะไรมาก และฉากแอ็คชั่นสุดดุเดือด พล็อตที่คาดเดาง่าย เล่าเรื่องไวจนไม่มีการขยี้ประเด็นอื่น ๆ ของตัวละครให้เรารู้สึกอินตามมากกว่าการได้เห็นวัฒนธรรมของทวีปตัวเองมาโลดเล่นอยู่บนจอภาพยนตร์
แต่งานภาพและเสียงเพลงประกอบ กับเสียงพากย์ของตัวละครทุกตัวก็ต้องบอกเลยว่าใส่ใจในทุกรายละเอียด ทำให้รายากับมังกรสุดท้าย เป็นเหมือนยำใหญ่ที่ทานพออร่อยแต่ไม่ค่อยอยากทานเป็นครั้งที่สองสักเท่าไหร่ ฝรั่งคงจะอินเพราะไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ในงานอเมริกันมากกว่า แต่ผมค่อนข้างเฉย ๆ ไปทางชอบแต่ไม่มาก อย่างน้อยถ้าพาครอบครัวลูกหลานไปดูก็ต้องไม่ผิดหวังและเสียดายเงิน มีเวลาว่างก็หาเวลาไปดูได้ครับ เพราะดูได้ทุกเพศทุกวัย แค่เนื้อเรื่องบางช่วงของเรื่องอาจจะมืดหม่นหน่อย ๆ นึงเท่านั้น