รีวิวหนังฝรั่ง Antebellum
เล่าเรื่องราวที่คาดไม่ถึงของ “เวโรนิกา เฮนลีย์” (จาแนลล์ โมเน) นักเขียนและนักเคลื่อนไหวสิทธิคนผิวสีที่ประสบความสำเร็จทั้งเรื่องงานและครอบครัว แต่ชีวิตของเธอกลับตาลปัตร เมื่อเธอต้องรับหน้าที่เป็น “ความหวัง” ของชุมชนทาสที่เสมือนตกนรกอยู่ในนิคมของทหารยุคสงครามกลางเมือง ดูหนังออนไลน์ เธอเท่านั้นที่จะสะสางปริศนาสุดสะพรึงก่อนที่เหตุการณ์เหนือการควบคุมและความเลวร้ายทั้งหมดจะยากเกินแก้ ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
หนังของคนผิวสีมักจะวนเวียนอยู่แนวความคิดของการถูกเหยียดจากคนผิวขาวอยู่ตลอดมา
การค้นพบและตั้งรกรากของคนบนฝั่งแผ่นดินอเมริกา คนผิวดำกลายเป็นชนชั้นต่ำ และตกเป็นเบี้ยล่างของคนผิวขาวตลอดมา แม้กระทั่งปัจจุบันที่ การเหยียดผิวนั้นเจือจางลงไปบ้างแล้วแต่มันก็ยังฝังรากอยู่ และ Antebellum ก็กำลังขุดมันออกมานำเสนอให้ผู้คนได้เห็นและตระหนักถึงมัน ดูหนังฟรี
เรื่องราวที่เล่าอยู่บนสองเส้นเวลา ชั่วขณะหนึ่งที่เวโรนิก้ายืนอยู่ในโลก ปัจจุบันของอเมริกา ชีวิตที่ดูจะเพียบพร้อม ทั้งอาชีพการงานที่รุ่งโรจน์ ชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น แต่เธอก็รู้ว่าเมื่อออกไปนอกบ้านยิ่งเมื่อเธอเข้าไปอยู่ในโลกที่คนผิวดำยังคงเป็นทาสรับใช้ในบ้านของผิวขาว มีบ้านแยกออกไปเฉพาะสำหรับทาส ถูกกดขี่ ทำร้ายทารุณต่างๆ นานา เธอจึงได้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่า คนผิวดำเคยถูกกระทำมามากมายและรุนแรงเพียงใด
เวโรนิก้า เฮนลีย์ นักเขียนระดับ เบสต์เซลเลอร์ ที่ถูกโชคชะตานำพาให้เธอเข้าไปติดอยู่ ในโลกความเป็นจริงในอดีตไกลโพ้นสุดน่ากลัว และต้องไขปริศนาหาคำตอบของ เรื่องราวสุดหลอนครั้งนี้ไปให้ได้ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายจนไม่สามารถแก้ไขได้ตลอดกาล
ผลงานที่ชูหน้าด้วยทีมสร้างจาก Get Out และ Us ของผู้กำกับ จอร์แดน พีล รีวิวหนังฝรั่ง Antebellum
ซึ่งเด่นในเรื่องสไตล์ความหลอนแบบดราม่ าจิตวิทยาผสมความสยองแบบหนาวสันหลัง ด้วยเรื่องราวเหนือจินตนาการ ซึ่งมักดึงความกลัวในใจคนออกมาโดยเฉพาะจากกลุ่มของชาวแอฟริกันอเมริกันที่ถูกความเหลื่อมล้ำทางสีผิวในอเมริกาเล่นงานมาเป็นร้อย ๆ ปีจนถึงปัจจุบันกับกระแส Black Lives Matter ซึ่ง Antebellum ก็ใช้ไอเดียการดึงความกลัวในใจคนผิวดำไม่ว่าจะกี่ยุคต่อกี่ยุคมาใช้ได้อย่างเข้มข้นทีเดียว
ทั้งนี้เป็นฝีมือการกำกับและจินตนาการจากคู่หู ผู้กำกับมือใหม่นามว่า เจอราร์ด บุช และ คริสโตเฟอร์ เรนซ์ ที่ผ่านงานสารคดี โฆษณาและวิดีโอสั้นมาหลายชิ้นก่อนได้รับ ความไว้วางใจทำหนังใหญ่เรื่องแรกนี้ แต่ทีมสนับสนุนเองก็แข็งแกร่งพอให้สองผู้กำกับบรรเลงฝีแปรงได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็น เปโดร ลัค ผู้กำกับภาพจากหนัง Don’t Breathe (2016) และ The Girl in the Spider’s Web (2018) มาใช้ประสบการณ์ภาพหลอนยะเยือกที่ เปิดมาด้วยลองเทคโชว์ความเก่าได้น่าสนใจทีเดียว และการปล่อยให้ผู้กำกับได้ปล่อยของเต็มที่เพราะไม่ต้องห่วงทีมหนุนก้ทำให้หนังเรื่องนี้มีของเด็ดของดีให้ตรึงใจได้ไม่น้อยเลย
ความสำเร็จของหนังอีกประการต้องยกให้เดอะแบก จาแนลล์ โมเน ดาราสาวที่หน้ามีเสน่ห์ไม่น้อย จากหนังอย่าง Moonlight และ Hidden Figure ที่สะท้อนความกลัว ความกล้า และการซ่อนเร้นความอับจนหนทางไว้ได้อย่างชวนอินในทุกซีน ส่วนนักแสดงประกอบคนอื่นไม่ใช่ว่าไม่ดี เพราะหนุนเรื่องได้น่าสนใจโดยเฉพาะ เหล่าตัวร้ายทั้งหลายเล่นได้น่าหมั่นไส้ ตั้งแต่แก่ยันเด็กเลยทีเดียว แต่ภาพรวมอย่างไรก็ตามคงต้องยกให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังของ โมเน จริง ๆ นั่นล่ะ
สิ่งที่ชอบมากสำหรับหนังเรื่องนี้คือการกำกับภาพ
เขาออกแบบภาพในแต่ละฉากออกมาสวยและสื่อความหมายได้ดีมาก ซึ่งมันทำให้เราเข้าใจสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อได้ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การเล่าเรื่องในหนังเรื่องนี้ยังไม่ดีเท่าที่ควร ถ้าจะให้พูดตรงๆคือหนังตั้งใจจะหักมุมมากเกินไป มันเลยเล่าเรื่องออกมาแบบนั้นอะ ซึ่งกว่าจะตัดสลับฉากแต่ละทีคือกินเวลาไปเยอะอยู่ ทำให้ผมเดาออกตั้งแต่เปิดเรื่อง เลยว่าพล็อตจริงๆมันคืออะไร เอาจริงๆคือ Intertitle ตอนเปิดเรื่องมันใบ้มาโต่งๆเลย ถ้าตีความดีๆก็น่าจะเดากันได้ ดังนั้นผมไม่แนะนำให้คนที่คิดจะดูอ่านคำโปรยหรือ Quotes จากหนังเรื่องนี้ เพราะมันสปอยแน่ๆถ้าคุณไปเจอ Intertitle อันนั้น อีกหนึ่งสิ่งที่ผมไม่ชอบคือ หนังนำเสนอประเด็น การเหยียดผิวสีออกมาตรงเกินไป ไม่ค่อยมีชั้นเชิงเหมือนตอน Get Out(ก็แน่หล่ะผู้กำกับ/คนเขียนบท คนละคนกัน) คือมันรุนแรงแบบไม่ค่อยมีชั้นเชิงจริงๆอะพูดเยอะไม่ได้อีกเดี๋ยวสปอย
สิ่งเดียวที่ผมแนะนำสำหรับเรื่องนี้คือ ถ้าคุณสนใจหนังเรื่องนี้(ถึงแม้คะแนนมันจะต่ำแค่ไหนก็ตาม) คุณควรรู้ให้น้อยที่สุดแล้วตีตั๋วเข้าไปดูเลยครับ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่อยากรู้ก่อนว่าหนังมันดีหรือไม่ดีแล้วค่อยไปดู ผมก็ขอพูดตรงๆว่ามันสู้ Get Out หรือ Us ไม่ได้เลย เพราะผู้กำกับคนละคนกัน แค่ดึงชื่อ Producer มาใช้โปรโมตเฉยๆ ซึ่งผมไม่อยากให้คะแนนหนังเรื่องนี้เลยอะ เอาเป็นว่าดูคะแนนฝั่งนักวิจารณ์จากเว็ปมะเขือเน่าไปละกันครับ
น่าสนใจที่เขาเลือกหาพล็อตที่เล่าเรื่องที่คุ้นเคยมา เล่าใหม่ในมุมมองและวิธีการที่แตกต่าง นำเรื่องการเหยียดผิว การกดขี่ทางชนชาติ มาเล่าโดยเพิ่มสีสันของช่วงเวลา เมื่อหนังเล่าให้โลกปัจจุบันกับโลกอดีตที่เธอเข้าไปสัมผัสมีความเหมือนกันในบางอย่างราวกับเป็นกระจกที่สะท้อนซึ่งกันและกัน เราจะได้เห็นว่า ทั้งสองช่วงเวลานั้น มีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่มีความคล้ายคลึงกันอยู่ ต่างแค่บริบทของสังคมและเวลา แต่ทั้งคู่ล้วนเป็นเรื่องราวของความไม่เท่าเทียมที่ยังคงมีอยู่แม้เวลาจะแตกต่างกันมากแล้วก็ตาม
แต่หากยังอ่านมาถึงตรงนี้ ก็ขอให้ข้อมูลเพิ่มอีกนิด ว่าหนังเล่าเรื่องของ เวโรนิกา เฮนลีย์ ที่ยุคหนึ่งเธอคือคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในชีวิต การศึกษาดี ครอบครัวอบอุ่น เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวทางสังคม ต่อต้านการเหยียดผิวและเรียกร้อง สิทธิอันเท่าเทียมในสังคม แสดงโดย จาแนลล์ โมเน่ (Moonlight, Hidden Figure) แต่ชีวิตอีกยุคเธอมีชื่อ อีเดน ทาสที่ถูกใช้แรงงาน หนักและถูกทารุณสารพัด ในยุคสงครามกลางเมืองของอเมริกา ที่นำคนผิวดำมาใช้แรงงาน ที่ไม่ต้องถามเลยว่าคุณภาพ ชีวิตย่ำแย่ขนาดไหน แล้วทำไมหรืออะไรที่ทำให้เธอมีบทบาทใน 2 ยุคนี้ นี่คือคำถามที่ต้องไปหาคำตอบกันในโรงภาพยนตร์
สำหรับตัวหนังนำคำที่ว่า “อดีตมันไม่เคยตาย มันไม่ใช่อดีตเสียด้วยซ้ำ”
ของเช็กสเปียร์มายั่วล้อได้น่าสนใจ ซึ่งจริง ๆ ก็ค่อนข้างแปลก ที่แปลไทยเช่นนี้ แต่สุดท้ายเมื่อดูหนังจบมาทบทวนคำพูดตอนต้นของหนังนี้ก็ทำเอาตบเข่าฉาดเลยเหมือนกัน ว่าไปหนังมีความคล้ายหนังเรื่อง หนึ่งซึ่งหากพูดชื่อไปก็จะสปอยล์ตัวหนังนี้ทันที เอาเป็นว่าสองผุ้กำกับเอาไอเดียเรื่อง นั้นมาปั่นเรื่องความกลัวของผิวสีได้เฉียบคมมาก บทมีความลักลั่นสั่นประสาทอยู่ตลอด
ข้อติงก็คงมีว่าด้วยโครงสร้างที่ออกแบบไว้ให้มันทำงานสำเร็จ จำเป็นต้องเสียสละเวลากว่าครึ่งชั่วโมงแรกให้กับการปูพื้นดราม่า จนเราสงสัยว่า เอ่ ที่ดูในตัวอย่างเรื่องเหนือธรรมชาติย้อนอดีตมันมีอยู่จริง ๆ หรือแค่หน้าหนังหลอกเราอีกแล้ว ทว่าสุดท้ายหนังก็ใช้ประโยชน์จากครึ่งชั่วโมงแรกได้ชะงัด
เป็นเหมือนการชม One Cut of the Dead รีวิวหนังฝรั่ง Antebellum
ที่ครึ่งหลังเฉลยแล้วอาจไม่ได้ความฮา หากแต่เป็นความสยอง เศร้า อย่างไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์เคยกระทำกับมนุษย์ได้เพียงนี้เลยหรือ ความรุนแรงนั้นถูกยอมรับในอดีตมากกว่าปัจจุบันได้จริงหรือ และลบล้างความ โรแมนติกในบทละครอย่าง ทวิภพ ไปแบบสิ้นเชิง ว่าในโลกความจริงมณีจันทร์ ย้อนเวลาไปคงกลายเป็นทาส และบทหวานของคุณพระคงกลายเป็นแส้ฟาดและลูกปืนแทน
เช่นเดียวกับ Get Out และ Us หนังค่อยๆ เล่าเรื่องราว ค่อยๆ เผยข้อมูล สถานการณ์ที่เต็ม ไปด้วยความลึกลับ มันไม่ได้น่ากลัว แต่มันน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ทั้งในยุคปัจจุบันและ ยุคสงครามกลางเมือง หนังอาศัยชั้นเชิงการนำเสนอในแบบที่ทำให้นึกถึงหนังของผู้กำกับที่ทุกคนรู้จักกันดีในชื่อ เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน
วิธีการที่ใช้อาจไม่ได้สดใหม่ แต่การสร้างบรรยากาศชวนอึดอัดและสถานการณ์ของเรื่องที่ไม่น่าไว้ใจ ก็สามารถกระตุ้นให้อยากติดตามได้ตลอด แถมยังมีไฮไลต์เด็ด! ตบหน้าคนดูฉาดใหญ่ เมื่อหนัง “หักมุม” ใส่คนดูอย่างร้ายกาจ อึ้งไปกับเหตุการณ์ในหนังและทึ่งกับความคิดของทีมผู้สร้าง ที่ดูเหมือนง่ายเมื่อรู้ทุกอย่างแล้ว เป็นลูกเล่นชั้นเชิงการเล่าเรื่องและนำเสนอที่ได้ผล
ให้บังเอิญว่าหนัง Antebellum แอนเทเบลลัม หลอน ย้อน โลก เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำและประเด็นผิวสี Black Lives Matter อันเป็นประเด็นร้อนบนพื้นที่สหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ซึ่งหนังก็เป็นตัวสะท้อนสังคม พาไปให้เห็นว่าแม้จะผ่านกาลเวลามานานแค่ไหน การต่อสู้ดังกล่าวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง
หนังถ่ายทอดการกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ ของชนชั้นนำที่กดชนชั้นล่างที่มีมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้อย่างสะเทือนใจ จนไม่อาจมองว่าชนชั้นนำนั้นคือคนได้ มันไร้ซึ่งหัวจิตหัวใจของความเป็นคน มันทำให้เราตระหนักว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบัน หนังนำเสนอตรงนี้ได้ดีมากๆ จนเอาใจช่วยให้สามารถหาเอาคืนหรือหนีเอาตัวรอดจากสถานการณ์แย่ๆ นี้ไปให้ได้ ในแบบที่ไม่แตกต่างจากที่เราเคยเชียร์ตัวเอกใน Get Out และ Us