รีวิวหนังฝรั่ง Robin Hood
ผลงานภาพยนตร์โปรเจกต์ยักษ์ที่นำเรื่องราวของยอดวีรบุรุษจอมโจรมาเล่าตีความในมุมมองใหม่ บู๊กว่า ดุดันกว่า และการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า รับประกันว่าผู้ชมยังไม่เคยได้สัมผัสในเวอร์ชั่นใดมาก่อน ดูหนังฟรี โดยหยิบยกเรื่องราวช่วงยุคเริ่มต้นของตำนานโรบิน ฮูดหลังจากที่เขาไปร่วมรบในสงครามครูเสด เมื่อกลับมาจึงพบว่าเมืองของเขาถูกคนชั่วยึดครอง โรบิน ฮูดจึงรวบรวมตั้งกองกำลังใหม่เพื่อลุกขึ้นต่อสู้ ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
เรื่องย่อคือ โรบินฮูด จอมโจรที่ถูกขนานนามว่าปล้นคนรวยไปช่วยคนจน ในภาคนี้หยิบยกเอาเรื่องยุคเริ่มต้นกำเนิดโรบินฮู้ด และเป็นเหตุการณ์ในช่วงสงครามครูเสด หลังจากการรบเสร็จสิ้นเขาเดินทางกลับบ้านจึงรู้ว่าบ้านเมืองถูกคนชั่วยึดครอง เขาจึงรวบพลพรรคขึ้นมาต่อสู้ ดูหนังออนไลน์
หนังน่าสนใจตรงที่ หนังฉีกการนำเสนอแบบเดิม ๆ รีวิวหนังฝรั่ง Robin Hood
ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในโรบินฮู้ดฉบับปี1991 และ 2010 คือภาคก่อน ๆ เราจะได้เห็นโรบินฮู๊ดในแบบเท่และดูดี แต่ในภาคนี้จะมีการนำเสนอในมุมที่ไม่ได้สวยหรูบ้าง เราจะได้เห็นด้านลบของจอมโจรผู้นี้มากกว่าที่เคยเห็น เพราะไม่ว่าจะเป็นใคร ทุกคนก็เคยผิดพลาด ในเรื่องความสับสนในชีวิตกับจุดยืนของชีวิตตัวเอง และชอบเวอร์ชั่นนี้ตรงที่หนังน้นปมปัญหาของตัวโรบินฮู้ดเป็นพิเศษ และเรื่องอื่น ๆ ที่มีน้ำหนักอย่างลงตัว หนังก็พยายามสอดแทรกปมการเมืองเข้าไปด้วย และสิ่งที่ผมต้องบอกอีกอย่างคือผมเองเป็นคนค่อนข้างชอบดูหนังผีที่มีนักแสดงนำเป็นผู้นำทางศาสนาที่คลั่งศาสนา ในเรื่องนี้ก็มีการสอดแทรกสิ่งที่เรียกว่า “ต่างมิติ” เข้ามาด้วย
จากเรื่องเล่าที่มีประวัติยาวนานมากว่า 800 ปี ว่าด้วยจอมโจรที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจรัฐที่ฉ้อฉลและช่วยเหลือชาวบ้านตาดำ ๆ ก็เป็นความคลาสสิกและโรแมนติกที่ทุกสังคมล้วนเผชิญและอัดอั้นคล้าย ๆ กัน และถ้านับเอาเฉพาะฉบับภาพยนตร์ก็ถือว่ามีการทำหนังมากว่า 110 ปีแล้วนับแต่ Robin Hood and His Merry Men (1908) หนังสั้นขาวดำที่ถือเป็นหนังโรบิน ฮูดเรื่องแรก
มาปีนี้ โรบิน ฮูด กลับมาอีกครั้งโดยการอำนวยการสร้างของ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ
โดยดึงผู้กำกับใหม่ถอดด้ามในวงการจอเงินแต่เก๋าในวงการจอแก้วทั้งซีรีส์ Black Mirror และกำลังมีผลงานในปีหน้ากับ His Dark Materials อย่าง ออตโต บาตเฮิร์ส มากำกับ พ่วงด้วยดาราดังคับคั่งที่คัดตัวกันอย่างโชกเลือดกว่าจะได้แต่ละคนมา ทั้ง ทารอน อีเกอร์ตัน ที่คุ้นตาจากหนัง Kingsman มารับบท โรบิน ฮูด ที่ปรับลุคให้ดูวัยรุ่นขึ้น (ให้อารมณ์หนัง Kingsman ภาคแรกเหมือนกันนะ) และมีภูมิหลังเป็นอดีตทหารครูเสด
โดยมีผู้ช่วยฝึกสอนวิชาและคู่หูนาม ลิตเติ้ล จอห์น รับบทโดย เจมี่ ฟ็อกซ์ ซึ่งก็ปรับลุคจากชายสูงใหญ่ล่ำบึ้กมาเป็นชายผิวสีดูเข้มน่ากลัวแทน และได้ตัวร้ายที่ให้บรรยากาศชวนเสียวหลังอย่างเบน เมนเดลโซห์ ตัวร้ายจากเรื่อง Rogue One: A Star Wars Story มารับบทนายอำเภอผู้มีปมกำพร้าและต้องการล้างแค้นทุกคนให้ลำบากเช่นเดียวกับเขา ซึ่งก็สร้างมิติใหม่ ๆ น่าสนใจให้ภูมิหลังตัวละครมากขึ้นด้วย
หนังปูประเด็นในเรื่องสงครามและเรื่องราวต่าง ๆ มาได้น่าสนใจมากในช่วงต้นเรื่อง ผ่านไปสักพักหนังเริ่มแผ่วปลาย นี่พูดถึงประเด็นที่น่าสนใจและแตกต่างจากสองเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้นะครับ ต้องยกผลประโยชน์ให้ผู้กำกับเลยที่หยิบยกประเด็นที่ไม่เคยถูกนำเสนอและถูกลืมไป มาถ่ายทอดให้คนดูได้รู้จักโรบินฮู้ดมากขึ้น
หนังมีแนวโน้มไปในทางที่โอเคในระดับหนึ่งครับ แต่ก็จะมีความเกิน ๆ ขาด ๆ ไม่ได้ดีสุดโต่งไปเลย คือทำใหม่ทั้งทีให้ดีไปเลยไหมได้หรอ หนังค่อนข้างพยายามจะเปลี่ยนบุคลิกภาพและมุมมองที่คนดูมีต่อโรบินฮู้ด เป็นConcept ที่ดี แต่เสียที่การนำเสนอนี่แหละครับ ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนตำนานมันไม่ได้ง่ายเลยครับ เหมือนเปลี่ยนไปฝืนไป
หนังมีจุดแข็งคือฉาก Action ที่ทันสมัย
หนังค่อนข้างเดินเรื่องเร็วเลยตัดประเด็นในเรื่องความอืดอาดออกไป แต่ด้วยความไวในการเดินเรื่องและการนำเสนอนั้น ฉากActionที่ดูดีและดูสวยก็จบไวไป ทำให้คนดูอาจจะไม่ค่อยเต็มอิ่มกับอรรถรสเท่าที่ควร และจุดด้อยที่ผมรู้สึกว่าเห็นได้ชัดเลยคือหนังเดาง่ายมาก แม้ว่าใครที่ไม่เคยชมเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ก็เดาไม่ยาก แถมคนร้ายก็ขัดใจมากครับ โดนหลอกง่ายจนไม่แน่ใจว่าใครโจใครพระเอก
นอกจากเนื้อหาที่รู้ ๆ กันดีแล้วอย่างการเป็นผู้นำชุมชนลุกขึ้นสู้กับอำนาจทรราชย์แล้ว หนังยังมีซับพล็อตเรื่องความรักสามเส้าเข้ามาอีก เมื่อหนึ่งในผู้นำกลุ่มต่อต้านนายอำเภอที่แสดงโดย เจมี่ ดอร์แนน จากหนัง Fifty Shades of Grey (2015) ก็ตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกับโรบิน ฮูด โดยนางเอกของเรื่องก็ได้ อีฟ ฮิวสัน ลูกสาวสุดสวยของ โบโน่ แห่งวง U2 มารับบทนำด้วย ซึ่งหนังก็วางตัวละคร 3 เส้านี้ได้น่าสนใจสามารถเล่นเผื่อมีภาคต่อได้สบาย ๆ แถมทวีความเข้มข้นมากขึ้นด้วย เพราะดอร์แนนเป็นสายหลักการต่อสู้อย่างสันติ ในขณะที่โรบินเป็นสายก่อการร้าย ซึ่งขัดแย้งโดยหลักการกันเอง
สิ่งที่หนังทำได้น่าสนใจนอกจากการปรับลุคตัวละครให้มีความแตกต่างน่าสนใจจากฉบับเก่า ๆ และการปรับเมืองน็อตติ้งแฮมที่เป็นฉากหลังจากยุคกลาง มาสู่เมืองศูนย์กลางยุคอุตสาหกรรมของอังกฤษที่ดูทันสมัยและเสื่อมโทรมทางจริยธรรมไปพร้อมกันแล้ว หนังยังจริงจังมากกับการใส่ฉากแอ็กชั่นที่คิดมาแบบละเอียด
ทั้งการให้อีเกอร์ตันฝึกสตันท์การยิงธนูไวแบบโบราณที่ทำได้ถึง 3 ดอกในเวลา 2 วินาที การกระโจนตัวกลางอากาศยิงเป้าเคลื่อนที่ และท่าสตันท์กับการยิงธนูอีกหลายหลาก โดยได้โปรด้านธนูสไตล์โบราณเจ้าของสถิติโลกอย่าง สตีฟ ราล์ฟส และ ลาร์ส แอนเดอร์เซน มาฝึกโดยเฉพาะเพื่อให้ภาพที่มีความน่าสนใจและรู้สึกว่าธนูอาวุธคู่กายของโรบิน ฮูด นั้นทรงพลังมากที่สุดด้วย
บทและการดำเนินของเรื่องของเรื่องนี้เป็นเส้นตรงมาก และง่ายดายแบบสุดๆ ไม่ซับซ้อน ไม่วุ่นวาย ทุกอย่างถูกคลี่คลายลงง่ายมาก ความขัดแย้งของแต่ละตัวละครดูเปราะบาง ตัวละครแต่ละตัวดูไม่มีมิติ แบนๆ และเหตุผลในการกระทำหลายๆ อย่างไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย แต่…มันสนุกแหะ
สิ่งที่ชอบมากที่สุดในเรื่องนี้คือการแสดงของ Ben Mendelsohn
ที่รับบทเป็นเจ้าเมืองแห่งน็อตติ้งแฮม น่าประทับใจโคตรๆ ดูร้ายจริง น่ากลัวจริง และดูเหมาะกับบทบาทนี้ชะมัด คือเฮียแกเกิดมาเพื่อเล่นบทร้ายชัดๆ ทั้งใน Rogue One, Ready Player One ต่างก็ทำได้ดีมากๆ แล้ว พอเห็นเฮียแกในเรื่องนี้ยิ่งน่าชื่นชมเข้าไปใหญ่ ส่วนทางด้านการแสดงของตัวละครอื่นๆ ยังอยู่ในระดับที่ดี อยู่ในระดับมาตรฐาน
ตามมาด้วยงานสร้างที่ยอดเยี่ยม ทั้งเอฟเฟคต่างๆ โดยเฉพาะฉากแต่ละฉาก ที่รังสรรค์เมืองน็อตติ้งแฮม ในยุคอุตสาหกรรม ออกมาสวยงามไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือฉากแอ็คชั่นบู๊สู้ด้วยธนูของ Taron Egerton ในบทของโรบินฮู้ด ที่เราดูแล้วมันทำให้เราเชื่อ และรับรู้ได้เลยว่า “เฮ้ย ไอ้นี่มันเก่งจริงว่ะ” เพราะเขาได้ฝึกฝนยิงธนูด้วยตัวเองจริงๆ แถมฉากแอ็คชั่นเหล่านั้น มันยังดูเท่ไม่ใช่เล่น กับการสโลว์ยิงลูกศรต่างๆ แต่ฉากการต่อสู้ของโรบินฮู้ดเท่ๆ ก็มีน้อยกว่าที่คาดหวังไว้พอสมควร และนอกเหนือจากการสู้ด้วยธนูแล้ว การต่อสู้ระยะประชิดอื่นๆ ก็ทำออกมาได้ไม่ดีสักเท่าไหร่
พูดถึงฉากแอ็คชั่น ก็ต้องพูดถึงฉากแอ็คชั่นในตอนใกล้จบของเรื่องที่เราได้เห็นในตัวอย่างหนัง ของการเผชิญหน้ากันระหว่างเหล่าทหารและกลุ่มกบฏ ซึ่งมันเปิดได้เท่ ยิ่งใหญ่ ดูอีปิกชะมัด มีการสโลว์โยนระเบิด แต่หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นฉากธรรมดาๆ ที่มั่วซั่วชะมัด อีกทั้งในฉากเดียวกันนั้นมันจะมีจุดดราม่า ละครน้ำเน่าอยู่ ซึ่งส่วนตัวมองว่าไม่ควรด้วยประการทั้งปวง
เนื้อเรื่องถือว่าใหม่และแตกต่างจาก Robin Hood ฉบับใดใด รีวิวหนังฝรั่ง Robin Hood
มีการตีความใหม่ มีการปรับปรุงเรื่องใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้น และมีความการเมืองอย่างชัดเจน แต่ถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องอื่น ๆ ก็ไม่ได้ถือว่าสดใหม่อะไรมากมายนัก เช่น บางทีก็นึกถึง The Hunger Game (ตั้งแต่โปสเตอร์ละอันที่จริง) แต่โดยรวมเราก็โอเคกับสตอรี่ใหม่ของเขาอยู่ดีนะ ถือว่าชอบเลยแหละ
นอกจากนี้ คาแรกเตอร์ของ Robin Hood และคู่หู ก็ดูตลกน่ารักมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็ต้องบอกว่า Taron Egerton เป็นนักแสดงดาวรุ่งที่มีเสน่ห์และมีลายเซ็นชัดเจนอยู่แล้ว และไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวังแม้แต่น้อย
ส่วน CG และสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ รวมถึงฉากบู๊แอ็คชั่น เวอร์ชั่นนี้ก็ทำได้ภาพสวยและดูสนุกขึ้นตามยุคสมัย ฉากแอ็คชั่นแต่ละฉากก็ทำได้มันส์ดี เว่อร์ดี เหมือนดูหนังฮีโร่ 2018 เรื่องหนึ่งจริง ๆ ไม่ใช่แค่โจรป่าธรรมดา ซึ่งก็ชอบอีกเช่นกัน
แต่เป็นที่น่าเสียดายแทนวัตถุดิบที่การกำกับและการตัดต่อยังไม่ลงตัว บางจุดก็เล่าเรื่องได้ไม่น่าดึงดูด บางจุดก็เล่าซะตัดฉับไว เร่งรีบไปไหนไม่รู้ จนเรารู้สึกขาดความต่อเนื่องและไม่ก่อให้เกิดความอินอย่างที่ควรจะเป็น ฉากแอ็คชั่นที่ว่าโอเค แต่มันก็โอเคเมื่อเป็นฉากเดี่ยว ๆ ของมันเท่านั้น พอมาปะติดปะต่อรวมกันทั้งเรื่อง มันยังไม่โอเค