รีวิวหนังฝรั่ง C’mon C’mon
รีวิวหนังฝรั่ง C’mon C’mon คือภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจากผู้กำกับ Mike Mills เจ้าของผลงาน Beginners (2010) และ 20th Century Women (2016) ที่ได้ Joaquin Phoenix นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์จาก Joker (2019) มารับบทนำ ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของ Johnny (Joaquin Phoenix) นักข่าววิทยุบ้างานที่กำลังออกเดินทางสัมภาษณ์คนหนุ่มสาวไปทั่วประเทศเกี่ยวกับ ‘ความหวัง’ และ ‘วันพรุ่งนี้’ รีวิวหนังฝรั่ง
มาถึงคิวหนังเล็กๆ ที่ได้ยินเสียงร่ำลือถึงความต๊าชชช…เป็นกระแสตั้งแต่ที่เมืองนอก ทำให้เราตั้งคารอคอยและในที่สุดก็มีค่ายหนังใจดี ซื้อสิทธิ์นำมาฉายในบ้านเราสักที นี่ก็คือ “C’mon C’mon” (ลุงครับ ‘รัก’ คืออะไร?) หนังดราม่าลุงหลานที่ถือว่าเป็นหนังขวัญใจนักวิจารณ์อีกเรื่องในปี 2021 ที่ผ่านมา และเมื่อเราได้ไปพิสูจน์กับตาแล้ว เราเชื่อแล้วว่าทำไมใครๆ ก็ชอบหนังเรื่องนี้ ดูหนัง
C’mon C’mon ลุงครับ ‘รัก’ คืออะไร? ว่าด้วยเรื่องราวของ จอห์นนี่ นักข่าววิทยุบ้างานที่กำลังทำโปรเจกต์ออกเดินทางสัมภาษณ์เด็กๆ หนุ่มสาวทั่วอเมริกา ในหัวข้อ “ความหวัง” และ “วันพรุ่งนี้ ” เขาได้รับการติดต่อจากน้องสาว ผู้ไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี เพื่อให้มาช่วยดูแลลูกชายของเธอแบบเฉพาะกิจ จึงทำให้เขาได้พบกับ เจสซี่ หลานชายที่แทบจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ทั้งคู่ได้ออกเดินทางข้ามประเทศ เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตของกันและกัน ดูหนังออนไลน์
นี่คือผลงานล่าสุดของผู้กำกับ “ไมค์ ไมล์ส” ที่เขายังรับหน้าที่เขียนบทหนังเองเช่นเคย และผลงานหนังเรื่องนี้ของเขาก็ยังคงไว้ด้วยสไตล์อันเป็นแนวคิดของตัวเองค่อนข้างเด่นชัด โดยเฉพาะการยั้งลึกเข้าไปถึงอารมณ์และความสัมพันธ์ของมนุษย์ เหมือนกับที่เคยทำเอาไว้ในผลงานก่อนๆ อย่าง “Beginners” หรือ “20th Century Women” แน่นอนว่าบทหนังเรื่องนี้คมคายเป็นอย่างมาก ทั้งสร้างและใสมิติในกับเรื่องราวได้ในหลายๆ ด้าน ดูหนังฟรี
หนังมีปมประเด็นที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยใหญ่ แต่กลับหนักหน่วงเอาการอยู่ไม่น้อย เป็นประเด็นละเอียดอ่อนเกี่ยวกับสถาบันครอบครัวที่ถูกสอดแทรกเอาไว้อย่างมีกึ๋น เล่าเรื่องผ่านตัวละครเด็กกับผู้ใหญ่ที่เป็นสิ่งที่ท้าทายมากๆ และยังสอดแทรกทัศนคิตกับความคิดของเยาวชน ที่มีต่อมุมของโลกปัจจุบันที่พวกเขาดำรงชีพอยู่ เป็นเสียงแทรกเข้ามาที่ช่วยส่งเสริมความหนักแน่นให้กับแนวคิดของหนังได้อย่างเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นด้วย เว็บดูหนัง
ไดอะล็อกและบทหนังที่ว่าเยี่ยมแล้ว มาได้การแสดงดีๆ ของ “วาคีน ฟีนิกซ์” เข้ามาเสริม ต้องบอกว่าเขาแบกรับหนังเรื่องนี้ทั้งเรื่องเอาไว้ได้สบายๆ ทั้งการถ่ายทอดอารมณ์และการยั้งเข้าถึงบทบาทนั่น นี่คือลักษณะของนักแสดงมืออาชีพโดยแท้ และหนังก็ยังได้นักแสดงเด็กดาวรุ่งหน้าใหม่ที่น่าจับตามองมากๆ อย่าง “วู้ดดี้ นอร์แมน” ที่การแสดงของเด็กคนนี้จะทำให้ผู้ชมต้องทึ่งกับความสามารถของเขา ตัวเล็กๆ แต่เข้าถึงบทบาทและถ่ายทอดออกมาได้น่าเหลือเชื่อ ขนาดเป็นแค่นักแสดงเด็กตัวเล็กๆ เท่านั้น
ที่มาช่วยลุงวาคีนประคับประคองและจับมือพากันไปด้วยกันตลอดทั้งเรื่อง ระยะเวลา 100 นาทีนิดๆ ของหนังเรื่องนี้คือความอิ่มเอมและน่าประทับใจตลอดทุกช่วงนาที ขณะที่อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ “แกบี้ ฮอฟมานน์” ที่ฉายแสงในหนังเรื่องนี้ได้ดีอีกคน กับการแสดงในแบบน้อยแต่มาก ออกมาทุกฉากถือว่าทรงพลังและใส่เต็มได้เป็นอย่างดี ทำการผนึกกำลังกันระหว่าง 3 นักแสดงหลักของเรื่องนี้…คือองค์ประกอบที่ลงตัวเป็นอย่างยิ่ง เว็บดูหนังฟรี
รีวิวหนังฝรั่ง C’mon C’mon
วิธีการเล่าเรื่องของ C’mon C’mon ถือว่าน่าสนใจและน่าประทับใจไม่น้อย การใส่ประเด็นหนักๆ ระหว่างความปวดร้าวและรอยร้าวที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวของตัวละคร แทรกด้วยแนวคิดและความคิดของเด็กรุ่นใหม่ ที่ตัวละครหลักออกเดินทางไปสัมภาษณ์และพูดคุยด้วยทั่วประเทศ คำตอบของเด็กๆ เหล่านี้ไม่ใช่แค่บทหนังดาดๆ ที่ใส่เอาไว้ทำเท่ แต่กลายเป็นกระจกสะท้อนความคิดของเยาวชนรุ่นใหม่ ทำให้เห็นพวกเขามีแนวคิดที่แตกต่างและเป็นเอกเขนกในรูปแบบเจเนอเรชั่นของตัวเอง
และการเลือกใช้วิธีถ่ายทอดหนังออกมาในรูปแบบหนังขาว-ดำตลอดทั้งเรื่องนั้น ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกิมมิกสำคัญที่ช่วยยกระดับการถ่ายทอดอารมณ์ให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี เพราะปมเรื่องราวของหนังนั้นก็เหมาะที่จะเล่าออกมาเป็นสีเทาๆ เพราะโลกใบนี้สำหรับบางคนก็ไม่มีสีสันเสมอไป ยังมีความเทาและความหม่นปะปนอยู่ในแต่ละช่วงชีวิตและจังหวะ และการเกลี่ยภาพเล่าออกมาในโทนนี้ของหนัง ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนังขาว-ดำที่ทำได้ค่อนข้างน่าพอใจ
แอบเสียดายไม่น้อย C’mon C’mon แทบไม่มีบทบาทบนเวทีรางวัลออสการ์ในปีนี้เลย ทั้งที่มีหลายๆ องค์ประกอบที่หนังหนักแน่นเพียงพอที่จะติดโผเข้าชิงด้วยซ้ำ อย่างน้อย บทภาพยนตร์ก็ถือว่าโดดเด่นพอสู้กับใครได้ การแสดงอันน่าประทับใจของ วาคีน ฟีนิกซ์ ก็ถือว่าขั้นเกณฑ์ที่เหมาะจะมีที่นั่งในสาขานักแสดงชาย ขณะที่ วู้ดดี้ นอร์แมน ก็น่าจะได้เป็นนักแสดงเด็กอายุน้อย ที่มีโอกาสได้เข้าชิงนักแสดงสมทบชายปีนี้ด้วยซ้ำ
เอาเป็นว่าโดยสรุปแล้ว C’mon C’mon ลุงครับ ‘รัก’ คืออะไร? เป็นหนังดราม่าที่จะบอกว่าฟีลกู้ดก็ไม่น่าจะใช่ แต่มันเป็นสไตล์ coming-of-age ที่ค่อนข้างหนักหน่วงด้วยภาวะอารมณ์ แต่ไม่ได้หม่นหมองและหนักอึ้งอะไรจนเกินไป แต่คนดูจะได้เรียนรู้ชีวิตผ่านลุงกับหลานคู่นี้ไปตลอดทั้งเรื่อง ผ่านมุมมองความเป็นผู้ใหญ่ที่บางครั้งก็ยังคิดเป็นเด็กๆ ผ่านมุมมองความเป็นเด็กที่บางครั้งกลับคิดแบบผู้ใหญ่ นี่จึงเป็นหนังที่เหมาะกับผู้ใหญ่มากๆ และเมื่อหนังจบแล้ว…น้ำตาซึมเบาๆ ได้เลย
คำถามข้อหนึ่งที่เราตั้งข้อสงสัยก่อนเดินเข้าไปชม C’mon C’mon คือ ทำไม Mike Mills และผู้กำกับภาพ Robbie Ryan จึงเลือกจะเล่าเรื่องผ่านงานภาพขาว-ดำ กระทั่งเราได้ไปร่วมออกเดินทางกับ Johnny และ Jesse จนจบ คำตอบที่เราพอจะตีความได้คร่าวๆ เห็นจะเป็นการแทนภาพของโลกใบใหญ่ ที่แม้จะดูมืดมนไปบ้าง แต่ก็ยังมีแสงสีขาวที่คอยสอดส่องเส้นทางให้เราก้าวเดินอยู่เช่นกัน หรืออีกนัยหนึ่งก็อาจเป็นการแทนมุมมองของชายวัยกลางคนอย่าง Johnny ที่ก็เป็นมนุษย์สีเทาๆ ที่มีทั้งด้านดีและแย่ปะปนกันไป
เหตุผลที่เราตีความภาพขาวดำของ Mike Mills ออกมาเช่นนี้ เพราะตลอดการเดินทางของ Johnny และ Jesse ที่ออกตระเวนไปสัมภาษณ์เด็กๆ มากหน้าหลายตา สิ่งที่เราสังเกตเห็นอย่างชัดเจน คือ คำตอบของเด็กๆ เหล่านั้นซึ่งต่างก็มีความคิดและทัศนคติที่โตเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความฝันและความหวังว่าอนาคตของพวกเขาและเธอจะต้องดีกว่าวันนี้ มันจึงอาจเปรียบได้ว่าโลกในมุมมองของพวกเขาต่างแต่งแต้มไปด้วยสีสันที่หลากหลายและงดงาม
ขณะเดียวกันในหลายๆ คำถามที่ Johnny ถามเด็กๆ เรารู้สึกว่าตัวภาพยนตร์กำลังยื่นไมค์มาให้ผู้ชมได้ร่วมกันขบคิดและตอบคำถามไปพร้อมกัน ยกตัวอย่างเช่น “เรานึกภาพอนาคตของตัวเองไว้แบบไหน” “ถ้าเราสามารถมีพลังพิเศษได้ อยากจะมีอะไร” “เรานึกภาพหลังความตายไว้แบบไหน” ฯลฯ อีกทั้งภาพยนตร์ยังชวนให้เราคิดต่อไปอีกว่า หากเราสามารถย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กได้อีกครั้ง คำตอบของเราจะแตกต่างไปจากตอนนี้หรือเปล่า สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจความจริงข้อหนึ่งว่า บางทีโลกสีเทาๆ ใบนี้ก็ทำให้เราหลงลืมความเป็นเด็กที่เปี่ยมไปด้วยความหวังและความฝันไปโดยไม่รู้ตัว
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ C’mon C’mon ถ่ายทอดออกมาได้อย่างลุ่มลึกไม่แพ้กัน คือ การพาผู้ชมไปสำรวจทุกแง่มุมความรู้สึกของ Johnny ที่แม้จะกล้าตั้งคำถามเพื่อขุดค้นความคิดของผู้อื่นและพร้อมจะรับฟังคำตอบอย่างจริงใจแค่ไหน แต่ชีวิตส่วนตัวของเขากลับไม่สามารถรับฟังความคิดเห็นของคนรอบข้างได้อย่างจริงใจ และไม่กล้าที่จะตั้งคำถามกับความรู้สึกของตัวเองได้เลย
แต่ Johnny กลับต้องมาดูแล Jesse เด็ก 8 ขวบจอมซนที่ชอบตั้งคำถามกับเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ในครอบครัว หรือแม้แต่ความหมายของชีวิต เรื่องราวของการเดินทางของ Johnny และ Jesse จึงทำหน้าที่พาผู้ชมไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับความคิดของเด็กและผู้ใหญ่ที่แตกต่างกันอย่างลึกซึ้งอีกด้วย
ซึ่งนักแสดงนำอย่าง Joaquin Phoenix ก็ถ่ายทอดบทบาทของการเป็นคุณลุงที่ต้องคอยดูแลเด็กจอมซนออกมาได้อย่างอบอุ่น อีกทั้งนำเสนอให้ผู้ชมได้เห็นถึงความรู้สึกอันมัวหมองที่ตัวละคร Johnny พยายามจะปกปิดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย
ในภาพรวมแล้ว C’mon C’mon เป็นภาพยนตร์ดราม่าอีกหนึ่งเรื่องที่ชวนให้เราได้ลองสำรวจดูว่า ตัวเราในปัจจุบันแตกต่างไปจากตัวเราในวัยเด็กอย่างไร มีปัจจัยอะไรบางที่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงไป และสีสันของโลกที่เรามองเห็นในตอนนี้แตกต่างไปจากวัยเด็กมากน้อยขนาดไหน
เรื่องของเรื่องมันเกิดจาก จอห์นนี่ (Joaquin Phoenix/วาคีน ฟีนิกซ์ จากหนังเรื่อง ‘Joker’, ‘Her’ และ ‘Gladiator’) นักข่าววิทยุบ้างานที่กำลังทำโปรเจกต์ออกเดินทางและสัมภาษณ์คนหนุ่มสาวไปทั่วประเทศ เกี่ยวกับ “ความหวัง” และ “วันพรุ่งนี้” ในระหว่างที่เขาทำงานอยู่ในเมืองดิทรอยด์ เขาก็ได้รับการติดต่อจากคนที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี
เธอคือ วิฟ (Gaby Hoffmann/แกบี ฮอฟฟ์แมน จากหนังเรื่อง ‘Veronica Mars‘ ซีรีส์เรื่อง ‘Girls’ และ ‘Transparent’) น้องสาวที่ช่วงหลังค่อนข้างห่างเหินกัน สาเหตุบางอย่าง เธอขอให้เขาช่วยดูแล เจสซี่ (Woody Norman/วู้ดดี้ นอร์แมน จากหนังเรื่อง ‘The Current War’ และซีรีส์เรื่อง ‘Poldark’) หลานชายวัย 8 ขวบ ที่ค่อนข้างมีบุคลิกเฉพาะตัว