รีวิวหนังฝรั่ง Captive State
รีวิวหนังฝรั่ง Captive State เมื่อโลกต้องตกอยู่ใต้การปกครองของเหล่าเอเลี่ยนเป็นเวลานานถึง 10 ปี โลกจึงเสมือนไม่ใช่ดวงดาวของมนุษยชาติอีกต่อไป พบการเผชิญหน้าครั้งลุ้นระทึกระหว่าง ผู้ปกครองจากดาวงดวงอื่น และ มนุษยชาติเจ้าของโลกใบนี้ในผลงานไซไฟ-ทริลเลอร์ไอเดียสดใหม่ “Captive State สงครามปฏิวัติทวงโลก” เว็บดูหนัง
หลังเอเลี่ยนในนามคณะปกครองโลกได้เถลิงอำนาจและถลุงทรัพยากรจนเกือบเกลี้ยง ได้ก่อให้เกิดกลุ่มปฏิวัตินาม ฟีนิกซ์ นำโดย ราฟ (โจนาธาน เมเยอร์ส) แต่หลังเหตุจลาจลที่วิคเกอร์พาร์ค ชื่อของราฟก็กลายเป็นเพียงตำนาน มีเพียง วิลเลียม มัลลิแกน (จอห์น กู๊ดแมน) ตำรวจสันติบาลชิคาโกเท่านั้นที่ตามแกะรอยหวังโค่นกลุ่มฟีนิกซ์ที่กำลังวางแผนวินาศกรรมครั้งใหญ่ โดยกุญแจสำคัญอยู่ที่ เก๊บ (แอชตัน แซนเดอร์ส) น้องชายของราฟที่หวังจะหนีออกจากเมืองอันสิ้นหวังโดยไม่รู้เลยว่า เขาอาจเป็นกลไกสำคัญในการทวงเสรีภาพจากเผด็จการต่างดาว
ต้องบอกก่อนว่า Captive State ไม่ใช่หนังเอเลี่ยนถล่มโลก ตู้มต้าม อย่าง ID4 หรือ War of the World ที่จะมีฉากหนีตายการไล่ล่าเอเลี่ยน หรือการถล่มอะไรต่างๆ แต่ในเรื่องนี้มันเกิดหลังจากเหตุการณ์ที่เอเลี่ยนบุกและยึดโลกไปแล้ว ครอบครองโลกมาเป็นเวลานานและไม่มีทีท่าว่าจะยอมลงจากอำนาจนี้แต่อย่างใด (คุ้นๆ ไหม?) จึงทำให้มีกลุ่มคณะปฏิวัติ Phoenix พยายามต่อต้าน และทำลายอำนาจทวงคืนเสรีภาพจากเหล่าเอเลี่ยนนั้นซะ
เรื่องของเอเลี่ยนบุกโลกอาจจะไม่แปลกใหม่ แต่มันแปลกใหม่ตรงที่เหตุการณ์หลังจากนั้นแหละ นี่คือหนังขายไอเดียล้วนๆ ถ้าใครคาดหวังจะมาเจอเอเลี่ยนยิงกันตู้มต้ามแบบหนังเอเลี่ยนอื่นๆ คงจะผิดหวังกันสักหน่อย เรื่องนี้เอเลี่ยนโผล่มาไม่กี่ฉากเท่านั้น (น้อยแบบนับฉากได้) และไม่มีฉากถล่มโลกแน่นอน เพราะหนังเรื่องนี้จะโฟกัสที่เหล่ากลุ่มปฏิวัติ ที่ฉาบไปด้วยการเมืองล้วนๆ เว็บดูหนังฟรี
หนังดำเนินเรื่องแบบน้ำซะส่วนใหญ่ มีเนื้อนิดเดียว แถมยังปูประเด็นไว้มากมายที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ และคำถามเกือบตลอดทั้งเรื่อง เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์อดีตในหนังที่ถูกพูดถึง มันช่างดูยิ่งใหญ่แต่หนังกลับไม่ได้ให้ความสำคัญหรือเน้นให้คนดูเข้าใจในจุดนั้นเลย แถมตัวละครแต่ละตัวก็เป็นใครก็ไม่รู้ โผล่ๆ มาๆ ไปๆ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่ได้ถูกพูดถึง โดยเฉพาะตัวเอกที่ปูมาแบบอ่อนๆ ทำให้คนดูผูกพันธ์ แตะต้องตัวละครไหนไม่ได้เลย มันจึงทำให้ทั้งเรื่องมันกลายเป็นน่าเบื่อและไม่น่าเอาใจช่วยตัวละครไหนเลย
แต่มีเพียงตัวละครเดียวเท่านั้นในเรื่องที่น่าสนใจคือตัวละครอย่าง William Mulligan สายสืบจอมโหดที่รับบทโดย John Goodman ที่พอช่วยพยุงให้หนังดูน่าสนใจได้บ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ยังเป็นจุดบกพร่องถึงเจตนาและแรงจูงใจของตัวละครตัวนี้อยู่ดี
แต่อีกประเด็นนึงที่มันช่างเหมาะเจาะกับบ้านเมืองเราในช่วงนี้เสียเหลือเกิน และมันดั๊นบังเอิ๊ญบังเอิญ เหตุการณ์ในหนังมันการเมืองเต็มๆ แถมยังเข้าฉายก่อนการเลือกตั้งอีก มันเลยทำให้หนังเรื่องนี้ช่างเหมาะเจาะเสียยิ่งกระไร และน่าจะทำให้คนดูบางกลุ่มอินได้ไม่ยาก หนังสะท้อนการเมืองออกมาแบบไม่แอบแฝงใดๆ บอกให้เห็นถึงทั้งฝ่ายปกครองและประชาชนอย่างชัดเจน ทั้งฝ่ายที่ยอมรับ ฝ่ายที่ไม่ยอมรับแต่ก็ยังนิ่งเฉย และฝ่ายที่ไม่ยอมรับโดยเลือกจะปฏิวัติอะไรบางอย่าง แต่ถึงมันจะมีประเด็นการเมืองเข้ามาเยอะแยะมากมายเพียงไหน แต่มันก็ยังไม่เข้มข้นพอที่จะทำให้หนังเรื่องนี้สนุกได้อยู่ดี หนังฟรี
สรุปแล้ว Captive State มีไอเดียที่ค่อนข้างดี กับหนังเอเลี่ยนการเมือง ที่พอให้สนุกได้บ้างในช่วงท้าย นอกเหนือจากนั้นก็ค่อนข้างน่าเบื่อ กับการดำเนินเรื่องและบทสนทนาที่เต็มไปด้วยคำถาม แน่นอนว่ามันไม่ใช่หนังเอเลี่ยนทั่วๆ ไป มันไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน บางคนอาจจะชอบมากๆ ก็ได้ แต่สำหรับเราค่อนข้างผิดหวังนิดนึง
ผู้กำกับรูเพิร์ท ไวแอ็ทท์ เปิดตัวด้วยหนังเล็กๆ ที่ไปได้ดีในเรื่องคำชม และเกาะเวทีรางวัลได้ประปราย ก่อนจะแจ้งเกิดกลายเป็นที่รู้จักทั่วโลกจากการปลุกชีวิตให้หนัง Planet of the Apes หรือพิภพวานร ด้วย Rise of the Planet of the Apes ในปี 2011 ได้สำเร็จ และก่อให้เกิดหนังอีกสองเรื่องตามมาในปี 2014, 2017 Dawn of the Planets of the Apes และ War of the Planet of the Apes ตามลำดับ แต่เป็นงานกำกับของแม็ทท์ รีฟส์
ถึงหนังจะไปได้สวย แต่ผู้ให้กำเนิดอย่างไวแอ็ทท์ กลับมีเส้นทางเดินที่ไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่นัก เพราะกับงานดรามา มาร์ค วอห์ลเบิร์กแสดงนำThe Gambler ที่ออกฉายในปี 2014 ก็ทำได้ไม่ดีทั้งเงินทองและคำชม ขณะที่งานใหม่ในปีนี้ ที่ทิ้งช่วงห่างถึงเกือบๆ 5 ปี ก็ใช่ว่าจะแก้ตัวได้อีกต่างหาก
รีวิวหนังฝรั่ง Captive State
มาในแนวทางหนังไซไฟการเมือง จากมันสมองของ รูเพิร์ต ไวแอต ผู้กำกับที่เคยปลุกตำนานพิภพวานรอีกครั้งจาก Rise of the planet of the apes เมื่อปี 2011 ซึ่งน่าจะเป็นหลักฐานถึงความสนใจในเรื่องการเมืองได้เป็นอย่างดี แต่เอาเข้าจริงแล้วการคิดเหตุการณ์แบ็คกราวด์ของเรื่องเป็น เอเลี่ยนยึดและปกครองโลกก็ไม่ได้เป็นสิ่งใหม่เสียทีเดียว มันเคยถูกบอกเล่าจนเฝือทั้งในหนังดังอย่าง District 9 (2009) หรือ ซีรีส์ดังทั้ง V (2009-2011) หรือ Colony (2016-2018) กระนั้นการที่ Captive State เลือกเล่าเรื่องราวโดยมีศูนย์กลางเป็นครอบครัวนักปฏิวัติ ที่มีแนวคิดขัดแย้งกัน คนนึงคิดสู้จนตัวตาย อีกคนกลับอยากหนีไปให้ไกล ก็ช่วยเพิ่มเสน่ห์เฉพาะตัวให้หนังได้อย่างประหลาด แต่การที่หนังไม่ได้มีฉากแอ็คชั่นไซไฟบึ้มบั้มและไปเน้นบรรยากาศวิพากษ์การเมืองแบบเผด็จการเข้มๆเครียดๆก็อาจเข้าข่ายหนังที่ไม่รักก็เกลียดเลยไปโดยปริยาย หนังใหม่
กระนั้นต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าบทหนังเองมีช่องโหว่ในหลายด้านทีเดียว ทั้งปมประเด็นการเมืองที่หนังเองก็ปูไม่แน่นทั้งอุดมการณ์ที่ตัวละครยึดถือ เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่หนังเลือกข้ามไปจนคนดูไม่ได้อินกับเบื้องหลังการปฏิวัติของราฟ หรือปมพี่น้องระหว่างเขากับเก๊บเท่าที่ควร แม้แต่ตัวละครตำรวจอย่าง วิลเลียม มัลลิแกน ที่ทั้งเรื่องเราแทบไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องมุ่งมั่นกับการตามทะลายแก๊งฟีนิกซ์โดยที่ไม่ได้ปูสายสัมพันธ์หรือความศรัทธาของวิลเลียมที่มีต่อคณะปกครองจากต่างดาวชัดเจนนัก (ก่อนที่จุดหักมุมจะมาอธิบายในส่วนนี้แต่ก็ยังไม่สมเหตุสมผลเพียงพอนัก) ซึ่งหากมองในเชิงตรรกะของเรื่องก็สังเกตความพังได้ไม่ยาก แต่อะไรล่ะที่จะทำให้คนดูอินได้
ลืมไม่ได้ก็คือ รายละเอียดและสิ่งละอันพันละน้อยที่ใส่เข้ามา ถือเป็นความพยายามที่จะทำให้หนังไซ-ไฟ ในโลกหลังหายนะ ขึ้นจอได้พร้อมกับความสดใหม่ ที่ทำให้รู้สึกในแบบนั้นได้จริงๆ แล้วเมื่อรวมเข้ากับการเล่าเรื่องด้วยภาพ การใช้ดนตรีประกอบ ที่ย้ำถึงสภาพความวุ่นวาย กดดัน ทั้งของเหตุการณ์ และที่ตัวละครได้รับ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ภาพโคลสอัพล้นๆ แน่นๆ กล้องที่เคลื่อนไหวไปมา ดนตรีประกอบที่ฟังเครียดๆ แล้วก็ไม่มีอารมณ์ขันให้รู้สึกเลยแม้แต่น้อย
Captive State อัดความเข้มข้น จริงจัง ใส่คนดูได้เต็มๆ
แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นได้แค่ความตั้งใจ และความพยายามที่ดี ที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน เมื่อความพยายามหลอกล่อทั้งตัวละครด้วยกันทั้งคนดู พาหนังดูวุ่นวายมากกว่าซับซ้อน และหลายต่อหลายครั้งก็นำความสับสนมาให้โดยไม่จำเป็น แถมยังอัดใส่คนดูอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีช่วงเวลาผ่อนคลายที่ลงตัว
รวมไปถึงไม่มีตัวละครสักรายที่คนดูจะรักและยึดเกาะเอาไว้ กับบทเจ้าหน้าที่รัฐของจอห์น กูดแมน ที่ขึ้นจอในแบบเวอร์ชันอัพเกรดจาก 10 Cloverfield Lane แม้จะมี ‘อะไร’ ให้รับรู้มากกว่าคนอื่น แต่การที่ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับมนุษย์ และถูกวางเป็นตัวร้ายก็ไม่ใช่คนในแบบที่ผู้ชมจะให้ใจ และเอาใจช่วย ส่วนตัวละครสองพี่น้องที่เป็นกุญแจสำคัญในแผนตอบโต้มนุษย์ต่างดาว ก็ดูห่างเหินจากผู้ชมจนเกินไป ทั้งในแง่การรับรู้ความเป็นมาของพวกเขา ทั้งในแง่ความสัมพันธ์ ดูหนังฟรี
ทำให้หนังขาดสิ่งที่ภาพยนตร์สักเรื่องควรมี ต่อให้เป็นหนังเฉพาะกลุ่มก็ตามที นั่นก็คือ ความสนุกสนาน แม้การเล่าเรื่องด้วยภาพและดนตรีประกอบจะพยายามเคลื่อนไหวและรุกเร้าคนดูเพียงใดก็ช่วยไม่สำเร็จ
ส่วนเรื่องราวหักมุมที่หวังจะสร้างเซอร์ไพรส์ ไปๆ มาๆ บางคนก็น่าจะเดาออกได้ตั้งแต่กลางเรื่องว่า ใครคือตัวการที่แท้จริง หรือยิ่งไปกว่านั้นก็คือ แผนนี้หน้าตาจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง สำหรับคนที่คาดได้ถูก หรืออาจจะรู้สึก ‘ว้าว’ ไปเลยสำหรับใครที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
และปิดหนังจบเรื่องราวของตัวเองในแบบเคลียร์คัท ชัดเจน รวมไปถึงทำให้ผู้ชมรู้สึกดีกับทั้งเรื่องราวและการได้ไปพบกับแสงสว่างจากนอกโรง ซึ่งคงไม่ต่างไปจากมนุษยชาติในเรื่อง ที่คงได้ดำเนินชีวิตต่อด้วยความหวัง หลังตกอยู่ในความมืดและเงื้อมเงาของมนุษย์ต่างดาวมายาวนาน
ประการแรกเลยคงหนีไม่พ้นการเล่าเรื่องเปรียบเปรย (Allegory) เรื่องแต่งมาวิพากษ์สังคมการเมืองของหนังเนี่ยแหละที่น่าจะโดนใจคนไทยมิใช่น้อย หลายช่วงตอนของหนังดูไปสะอึกไปแบบไม่ต้ั้งใจทั้งบทบรรยายที่ผู้นำฝ่ายมนุษย์พูดถึงคณะปกครองว่าทำให้สังคมที่เคยแตกแยกกลับมารวมตัวกันได้ หรือนัยหนึ่งก็คือการบังคับให้คนยอมรับในอำนาจเบ็ดเสร็จนั่นเอง หรือแม้แต่โปรโมช้ั่น “คืนความสุข” ต่างๆนานาทั้งเศรษฐกิจ ตัวเลขคนว่างงานที่ลดลง ก็ทำให้เราได้ระลึกถึงความดีงามที่เรามักได้ยินกันทุกวันศุกร์มิใช่น้อยเลยแหละ และยิ่งหนังมาฉายก่อนวันเลือกตั้งแบบหายใจรดต้นคอนี่ก็ยิ่งท้าทายสมองให้เราได้คิดตีความไปจนถึงหวาดหวั่นกับผลลัพธ์ที่ภาวนาขออย่าให้เหล่าเอเลี่ยนกลับมา ‘คืนความสุข’ กันอีกเลย ดูหนังออนไลน์